เชื่อว่าเราทุกคนมีฝันที่ไม่กล้าฝันกันหมด บางคนฝันอยากเป็นนักธุรกิจที่รวยล้นฟ้า บางคนอยากคิดค้นสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมบางอย่างที่เปลี่ยนโลกได้ บางคนอยากเป็นนักเขียนที่มีผลงานโด่งดัง และบางคนอยากเป็นศิลปินที่เสกผลงานให้ได้ไปไกลระดับโลก แต่เรามักติดกับดัก “ความกลัว” เสมอ ยิ่งกว่าการโต้แย้งภายในตัวเอง ก็คือเสียงจากคนรอบข้าง เรากลัวคนรอบตัวไม่เห็นด้วย กลัวถูกมองว่าความฝันเราเพ้อเจ้อ กลัวลงทุนลงแรงไปแล้วไม่สำเร็จขึ้นมา สารพัดความกลัวมากมายผุดขึ้นในหัวตั้งแต่ตอนเริ่มคิด ซึ่งไม่แปลกหรอกที่เราจะกลัวในสิ่งที่ใหญ่ไปกว่าตัวเอง แต่ก็อย่าลืมว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้น เกิดจากการลงมือทำและ “กล้าที่จะทำ” ของมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ อย่างเราทั้งนั้น
ความกลัวอย่างหนึ่งที่ยากจะพังทลายก็คือการ “กลัวถูกปฏิเสธ” ถ้าเทียบกับชีวิตจริงตอนนี้ เชื่อเลยว่าชาว B2S Club เองก็เจอมาเยอะกับการโดนปฏิเสธ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องความสัมพันธ์ ความรู้สึกของคนโดนเทน่ะมันผิดหวังเสียใจแค่ไหนก็รู้กันอยู่ แต่วันนี้แหละค่ะ เราจะชวนเพื่อน ๆ มาอัปเกรดหน้าอัปเกรดใจให้หนาเตอะ พร้อมรับมือกับการถูกปฏิเสธได้แบบชิล ๆ กันมากขึ้น กล้าทำตามความฝันของตัวเองกันมากขึ้น ด้วยหนังสือชื่อเก๋ “คัมภีร์หน้าหนา” เป็นครั้งแรกที่รู้สึกดีกับคำว่าหน้าหนา 5555 ถ้าพร้อมแล้ว มาแง้มดูข้างในกันค่ะว่าจะน่าสนใจแค่ไหน
“คัมภีร์หน้าหนา” (ปล่อยให้มีแต่พิซซ่าเท่านั้นที่หน้าบาง!) เป็นหนังสือในหมวดจิตวิทยา/ พัฒนาตนเอง ที่ต้องบอกว่าเห็นปกครั้งแรกก็ถูกใจเลย อยากอ่านมาก เพราะรู้สึกว่าเหมาะกับตัวเอง ด้วยความที่เป็นคนขี้กลัว หวาดระแวง คิดลบ อ่อนไหวง่าย โดยเฉพาะกับการโดนวิจารณ์และการปฏิเสธ เลยคิดว่าไอหนังสือชื่อกวน ๆ เล่มนี้ อาจจะช่วยทำให้เราหน้าหนาขึ้นมาบ้างก็ได้ ยอมใจคนตั้งชื่อหนังสือจริง 555 การตลาดเขาดี (พึ่งรู้ว่าเวอร์ชันแปลก่อนหน้านี้ ใช้ชื่อว่า 100 วันที่ผมสร้างภูมิต้านทานการถูกปฏิเสธ)
เล่มนี้เป็นหนังสือที่เขียนโดย Jia Jiang หลายคนที่ชอบฟัง TED Talk อาจจะคุ้นชื่อนี้กันแล้ว เพราะเขาเคยพูดเรื่อง “สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จาก 100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ” ซึ่งก็คือเรื่องที่เล่าในหนังสือเล่มนี้ด้วย และมันเป็นไวรัลเสมอ มีคนเซิร์ชหาอยู่ตลอด แม้กระทั่ง ใน TikTok เองก็มีคนทำชาเลนจ์ 100 days of rejection อยู่เรื่อย ๆ เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากนักเขียนคนนี้ นอกจากในเล่มจะพูดถึงโปรเจกต์ 100 วันแห่งการถูกปฏิเสธที่นักเขียนคิดและลงมือทำเอง ก็ยังพูดถึงชีวิตและความล้มเหลวกว่าจะยืนหยัดได้อย่างที่เป็นทุกวันนี้
Jia Jiang เกิดและเติบโตที่ปักกิ่ง มีความฝันอยากเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่เด็ก ๆ แพสชันแรงขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าเด็กคนอื่น ๆ ออกไปวิ่งเล่นกีฬาหรือเล่นวิดีโอเกม Jia Jiang ใช้เวลาไปกับการอ่านชีวประวัติของโทมัส เอดิสัน และผู้ก่อตั้งบริษัทพานาโซนิคอย่างโคโนสุเกะ มัตสึชิตะ ความฝันอันแรงกล้าอย่างนั้นผลักดันให้เขาพาตัวเองไปตามรอยฝันที่ห่างไกลบ้าน จุดหมายปลายทางคือสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ใคร ๆ ก็ฝันหวานถึงชีวิตอันเสรี แต่ผู้เขียนเองก็เจอมาหนักหนาเอาเรื่อง เพราะก้าวแรกของการไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่นั่น ก็ดันได้ไปอยู่บ้านโฮสต์ที่เป็นครอบครัวอาชญากร ! แต่ถึงจะเจอเรื่องตลกร้ายอย่างนั้น ชีวิตก็ยังดำเนินต่อไปได้
Jia Jiang ทุ่มเทและตั้งใจกับการเรียนมาก เรียกได้ว่าเป็นหัวกะทิคนนึงเลย ทุกคนคงแอบคิดแหละว่าทำถึงขนาดนี้แล้ว คงได้งานในฝันเข้าจริง ๆ แต่ในความเป็นจริง แม้ว่าท้ายที่สุดจะลงเอยด้วยการมีงานที่ดีทำ ได้เลื่อนขั้นและมีตำแหน่งใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ มีชีวิตที่สบายกว่าใครหลายเท่า แต่ข้างในลึก ๆ เขาเองก็รู้ดีว่าสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฝันเลย มีโปรเจกต์มากมายถูกล้มพับเก็บไว้ในลิ้นชัก เพียงเพราะเขากลัว กลัวคนในครอบครัวไม่พอใจและต่อว่าซ้ำเติมว่านั่นคือฝันลม ๆ แล้ง ๆ ที่ห่วยแตก เลยทำได้แค่วนเวียนคิดว่าถ้าตอนนั้นมุ่งมั่นมากพอ ไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น ไม่สนใจว่าคนรอบตัวจะคิดยังไง เขาอาจได้กลายเป็นผู้คิดค้นสิ่งมหัศจรรย์สักอย่างที่เปลี่ยนโลกได้จริง ๆ ไปแล้ว
วันหนึ่ง ภรรยาของ Jia Jiang ที่ท้องและกำลังใกล้คลอด ซึ่งรู้สึกมาได้พักใหญ่แล้วว่าสามีเธอกำลังเศร้าหนักกับเรื่องนี้ เธอเลยตัดสินใจบอกให้เขาลาออกแล้วไปทำตามความฝัน แต่ให้เวลาได้แค่ 6 เดือน “คุณจะซื้อรถยนต์อีกคัน ซื้อบ้านอีกหลัง เลื่อนตำแหน่ง หรือหางานใหม่ก็ได้ แต่คุณจะใช้ชีวิตอยู่กับความเสียใจในภายหลังไม่ได้” ตอนนั้นเองชีวิตของการเป็นสตาร์ตอัปก็เริ่มต้นขึ้น เขาตัดสินใจลาออกจากงานประจำซึ่งเป็นความคิดที่บ้าบิ่น แต่ถึงเวลาต้องทำแล้ว
ขณะที่ฝันของเขากำลังจะพุ่งทะยาน การถูกปฏิเสธที่ทำให้ต้องรู้สึกผิดหวังอย่างแรงก็ตีคู่มาด้วยพร้อมกัน Jia Jiang เกือบจะถอดใจอีกหน แต่นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของ 100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ ที่ทำให้ทุกวันนี้ เขาได้เป็นทั้งผู้ประกอบการ เจ้าของบล็อก นักพูด และนักเขียน ที่ส่งต่อเรื่องราวการถูกปฏิเสธให้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลก
ส่วนตัวเรารู้สึกว่า Rejection Proof นี่แหละของแท้ มันคือนวัตกรรมอย่างนึงที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ คุณนักเขียนจงภูมิใจได้เลยว่าคุณคือคนสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นนะ มันโอบอุ้มใจ มีความหมาย และฮีลความเจ็บปวดให้กับคนที่กำลังเผชิญความผิดหวังจากการโดนปฏิเสธได้จริง ๆ
ตัวอย่างเนื้อหาในเล่ม
“น่าทึ่งที่เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน และช่องว่างระหว่างวิสัยทัศน์ที่มีต่อตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตก็เริ่มกว้างขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ความฝันของผมเลือนหายไปหมดแล้ว วัยรุ่นที่เดินฝ่าหิมะคนนั้นไม่ได้เป็นบิลล์ เกตส์ คนต่อไป แต่กลายเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดซึ่งนั่งเงียบ ๆ อยู่บนขั้นบันไดอันเล็กแสนสบายของลำดับขั้นบันไดในองค์กร แล้วรับค่าตอบแทนสูง ๆ อย่างน่าเศร้า นาน ๆ ครั้งความอิจฉาของเพื่อนฝูงหรือความภาคภูมิใจของครอบครัวก็ทำให้ผมมั่นใจแบบผิด ๆ ไปชั่วขณะหนึ่ง ว่าชีวิตของตัวเองกำลังไปได้สวย แต่สำหรับผมแล้ว นาฬิกาชีวิตที่ไม่เคยหยุดเดิน เปรียบได้กับดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแผดเผาทุ่งหิมะแห่งความฝันและความทะเยอทะยานของผม ผมจำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่งหลังกลับจากที่ทำงาน ผมขังตัวเองในตู้เสื้อผ้าแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หลายชั่วโมง ซึ่งผมไม่เคยร้องไห้นานขนาดนี้มาก่อน”
“จำไว้ว่า การถูกปฏิเสธเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นความคิดเห็นอย่างหนึ่ง และมีจำนวนครั้งที่เฉพาะเจาะจง ถ้าผมมองว่าความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นตัวตัดสินคุณค่าของสิ่งที่ผมทำ (ซึ่งผมกำลังทำแบบนี้อยู่ เพราะผมมักเก็บเอาอาการถูกปฏิเสธทุกครั้งมาใส่ใจ) ชีวิตของผมก็คงไม่มีความสุข เพราะผมนำคุณค่าของตัวเองและแม้กระทั่งเส้นทางของชีวิตไปผูกติดอยู่กับคำตัดสินของผู้อื่น”
“การเปลี่ยนการถูกปฏิเสธให้เป็นเรื่องดีต้องอาศัยความกล้า คุณต้องจ้องเข้าไป และมองการถูกปฏิเสธอย่างที่มันเป็นจริง ๆ นั่นคือ ประสบการณ์ที่อาจทำร้ายหรือช่วยเหลือคุณโดยขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมองมันอย่างไร เพราะทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับทัศนคติของคุณ โดยปกติแล้ว การถูกปฏิเสธถือเป็นเรื่องเจ็บปวด ถ้าคุณมองว่ามันคือความล้มเหลว สิ่งที่คอยทำร้ายจิตใจหรือเหตุผลในการวางมือ มันก็จะเป็นอย่างที่คุณมอง แต่ถ้าคุณมีความกล้าที่จะถอยออกมาหนึ่งก้าว แล้วมองการถูกปฏิเสธในแง่มุมที่ต่างออกไป คุณจะพบเรื่องน่าทึ่ง กล่าวคือ ไม่มีการถูกปฏิเสธครั้งใดที่เลวร้าย ถ้าคุณพิจารณาให้ดี คุณจะพบต้นหลิวและหมู่บ้านอันแสนน่ารัก”
“ดอสโตเยฟสกีเคยกล่าวว่า ‘สิ่งเดียวที่ผมกลัวคือการไม่เห็นคุณค่าของความทุกข์ทรมานของตัวเอง’ การถูกปฏิเสธก็เช่นกัน ลองถามตัวเองว่าความฝันของคุณยิ่งใหญ่กว่าการถูกปฏิเสธหรือไม่ ถ้าใช่ นี่อาจถึงเวลาที่คุณต้องลุยต่อแทนที่จะยอมแพ้”
ความรู้สึกหลังอ่าน
เราเคยอ่านมาจากที่ไหนสักที่ว่า ความกล้าและความมั่นใจ เป็นเรื่องที่ฝึกกันได้ (อันนี้ใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิตเลยนะ) ที่เรารู้สึกว่าข้อความนี้มันน่าสนใจ เพราะตัวเราเองเป็นคนไม่มั่นใจมาก ๆ อย่างตอนที่ออกไปพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ หรือต้องทำอะไรสักอย่างที่ไม่อยากทำ แม้กระทั่งบางอย่างที่อยากลงมือทำให้เป็นจริงขึ้นมาก็ไม่มีความกล้ามากพอ แต่พอได้อ่านเล่มนี้ มันเหมือนเป็นการคอนเฟิร์มจริง ๆ ว่า ความกล้าและความมั่นใจมันเป็นเรื่องที่เราฝึกฝนได้ ยิ่งฝึก ภูมิต้านทานเราก็ยิ่งมาก เราจะคุ้นเคยกับความประดักประเดิด เราจะรู้จักตัวเองมากขึ้นและคุ้นชินกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนเลิกเขินอาย จนถึงตอนนั้น หน้าเราคงหนาพอที่จะไม่กลัวการปฏิเสธ และยอมรับกับความผิดหวังในชีวิตได้เหมือนอย่างที่หนังสือเล่มนี้บอกจริง ๆ
ใครที่กลัวว่าเล่มนี้จะเป็นเหมือนฮาวทูที่อ่านยาก เราบอกได้เลยว่าไม่จริง มันอ่านง่ายกว่าที่คิด อาจเป็นเพราะมันคือ Pain point ที่ทุกคนเจอเหมือนกัน มีเหมือนกัน นั่นคือจุดเชื่อมที่ทำให้เรารู้สึกว่า เออ ในฐานะคนอ่านเอง เราก็เจอเรื่องแย่ ๆ เจ็บปวดกับการไม่ได้ทำตามฝันเพราะไม่กล้า เหมือนอย่างนักเขียนคนนี้เหมือนกัน มันเลยง่ายที่จะทำความเข้าใจ และเพลินไปกับเรื่องราวที่นักเขียนเลือกมาเล่า แล้วก็รู้สึกอีกว่า การอ่านชีวิตคนนี่แหละ ที่ส่งแรงผลักให้เราได้มากกว่าที่คิด มันเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ รับรู้ว่าเราไม่ได้เผชิญปัญหานี้อยู่คนเดียว และจะผ่านมันไปได้
ที่ชอบอีกอย่างคือ ท้ายเล่มเค้ามีสรุปไว้เป็นภาคผนวกให้ด้วยว่า มีเครื่องมืออะไรบ้างที่เราใช้รับมือกับการถูกปฏิเสธได้ มันก็คือสรุปทริคที่สอดแทรกไว้ในแต่ละบทนั่นแหละ แต่เหมือนมาย้ำอีกครั้งในตอนท้ายเพื่อไม่ให้เราหลงลืมว่า เรายังมีเครื่องมือดี ๆ ข้างกายที่เอาไว้ใช้ฝึกตัวเองได้ตลอด
สิ่งที่ประทับใจ
ในช่วงแรก ๆ ที่เริ่มไล่สเตปภารกิจ 100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ เหมือนเราได้เห็นพัฒนาการที่ชัดเจนว่าการถูกปฏิเสธมันไม่ใช่เรื่องน่าอายน่าผิดหวังอย่างที่เราตีโพยตีพายไว้ใหญ่โต และบางที คำขอของเราที่ฟังดูแปลกประหลาด ก็ใช่ว่าจะถูกปฏิเสธ และมันอาจเกิดขึ้นในรูปแบบที่เราเองก็คาดไม่ถึงด้วย อย่างเช่น
ภารกิจ Day 1 ที่ไปขอเงิน 100 ดอลลาร์จากคนแปลกหน้าแบบดื้อ ๆ แน่นอนว่าโดนปฏิเสธ แต่มีดีเทลเล็ก ๆ อยู่ว่า คนที่โดนขอเงิน ถามกลับมาว่า “ทำไมถึงต้องให้” ซึ่งตอนนั้น Jia Jiang เองด้วยความตื่นเต้นปนอับอาย เลยพยายามออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุดโดยไม่ได้สนใจคำถามที่ตามมาหลังการปฏิเสธ นั่นทำให้ภายหลังเขามาคิดได้ว่าบางที ถ้าเขาอธิบายเหตุผลไป พูดความจริงออกไป ผลลัพธ์อาจจะพลิกก็ได้
ภารกิจ Day 2 เขาถามพนักงานที่ร้านฟาสต์ฟู้ดว่า มีแฮมเบอร์เกอร์แบบเติมไม่อั้นมั้ย คำถามนั้นทำให้พนักงานสตั๊นไปพักนึง แต่แน่นอนว่าคำตอบคือไม่อยู่แล้ว แต่ที่เห็นชัดว่า Jia Jiang รับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้นก็ตรงที่ หลังโดนปฏิเสธ เขาอธิบายต่อ พูดคุยกับพนักงานเพิ่ม และจบลงด้วยรอยยิ้ม
ภารกิจ Day 3 เขาเดินเข้าไปในร้านโดนัท Krispy Kreme และขอในสิ่งที่คิดว่าต้องโดนปฏิเสธแน่นอน คือการขอให้พนักงานทำโดนัทเป็นรูป “ห่วงโอลิมปิก” 5 ห่วง แต่ใครจะคิดว่าผลลัพธ์ดันเซอร์ไพรส์เขากลับ เพราะพนักงานตกลงทำให้จริง ๆ และวันนั้นเขาได้โดนัทห่วงโอลิมปิกกลับบ้านโดยไม่ต้องเสียเงินด้วย
ทุกภารกิจที่เลือกทำ มันคือสิ่งที่เขาคิดแน่ชัดว่าต้องโดนปฏิเสธแน่ เราเลยได้เรียนรู้ว่า
สำหรับบางคนอาจจะต้องใช้ความกล้าที่จะถูกปฏิเสธถึงครั้งที่ 99 ถึงจะเจอการยอมรับในครั้งที่ 100 หรือไม่แน่ว่า มันอาจยาวนานกว่านั้นจนเกือบถอดใจไปก็ได้ แต่ไม่ว่าความสำเร็จจะมาถึงในครั้งที่เท่าไหร่ ระหว่างทางอย่าลืมที่จะใช้ชีวิตให้มีความสุข และเลือกเส้นทางที่อยากเดินให้กับตัวเองนะคะ มองย้อนกลับมา คำว่ารู้งี้ จะได้ไม่ติดค้างในใจไปตลอดชีวิต
“คัมภีร์หน้าหนา” เป็นเล่มที่เราว่า มันจะช่วยเปลี่ยนชีวิตเพื่อน ๆ ให้ดีขึ้นได้แน่นอน ใครที่อยากลองออกจากคอมฟอร์ตโซน เป็นคนขี้กลัว ไม่มั่นใจ ติดนิสัยเกรงใจคนอื่น หรือต้องทำงานที่ต้องสื่อสารเจรจาอยู่บ่อย ๆ เล่มนี้เหมาะมากค่ะ เพราะมันช่วยแนะนำทริคในการพลิกให้โอกาสมาอยู่ข้างเราด้วยทัศนคติที่ว่า ‘ไม่’ ในวันนี้ อาจเป็น ‘ใช่’ ในวันพรุ่งนี้ก็ได้ สิ่งที่ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ใช่ตลอดไป