พูดถึงคำว่า "อินโทรเวิร์ต" ชาว B2S Club เข้าใจความหมายของคำนี้ว่ายังไงกันบ้างคะ ?
ถ้านึกภาพขำ ๆ ให้คาแรกเตอร์ของคนเป็นเหมือนตัวละคร ชีวิตของคนอินโทรเวิร์ตมักจะถูกเลือกให้สวมบทบาทเป็นตัวละครในหนังขาว-ดำ ที่เดินเตร็ดเตร่ไปตามตรอกถนนด้วยสีหน้าเรียบเฉยหรือบึ้งตึง และมีเมฆดำลอยอยู่เหนือหัวตลอดเวลา อันที่จริง โลกของอินโทรเวิร์ตเองอาจเป็นตรงกันข้ามอย่างที่ใครๆ คิด โลกของหลายๆ คนในกลุ่มก้อนอินโทรเวิร์ตนี้อาจเป็นสีรุ้ง เป็นสีดำสนิท เป็นสีเทาขมุกขมัว เป็นสีขาวสว่างเจิดจ้า และบางที อาจเป็นสีพาสเทลเหมือนหลุดออกมาจากหนังของเวสแอนเดอร์สันก็เป็นได้
มุมมองภายนอกที่คนอื่นมองเข้ามา มักจะมองว่าคนที่เป็นอินโทรเวิร์ตคือคนที่มีบุคลิกเงียบขรึม ดูเข้าถึงยาก หยิ่ง โลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบสุงสิงกับใคร และดูไม่เป็นมิตรเอาซะเลย ในทางตรงกันข้าม ถ้าให้เราพูดถึงมุมมองที่มีต่อคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตหรือคนที่พูดเก่ง เรามักมองคนเหล่านั้นว่าเป็นคนสดใสร่าเริง มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ดูมั่นใจ น่าคุยด้วยและน่าเข้าหา ตามมาด้วยบลา ๆๆ สารพัดข้อดีที่จะพอนึกออกใช่มั้ยล่ะ
หากเราคิดแบบนั้น มันก็เหมือนเราแบ่งเส้นชัดเจนเพื่อแปะป้ายให้คนอื่นโดยที่ยังไม่รู้จักตัวตนของเขาจริง บางทีเราอาจต้องย้อนกลับไปถามตัวเองกันก่อนว่า เราเข้าใจคำว่าอินโทรเวิร์ตมากแค่ไหน รวมถึงความหมายของคำอื่น ๆ ที่เราเคยแอบไปแปะให้ใครต่อใครอีกมากมายด้วย
"แค่คนเก็บตัว" หรือ My Introvert Story จึงเป็นอีกเล่มที่จะพาเราไปรู้จักกับการเป็นอินโทรเวิร์ต ที่หากใครเป็นอยู่แล้วและได้อ่าน ก็จะเข้าใจตัวเองมากขึ้น ตัดสินตัวเองและคนอื่นน้อยลง เลิกดูถูกตัวเองด้วยกรอบของคำว่าอินโทรเวิร์ตที่คนในสังคมนิยามไว้ว่ามันเป็นแบบไหน ขณะเดียวกัน คนที่ไม่ได้เป็นอินโทรเวิร์ตเอง หากได้ลองอ่านเล่มนี้ ก็จะเข้าใจความเป็นอินโทรเวิร์ตมากขึ้น และมากกว่าการเข้าใจ ก็คือการไม่ตัดสินหรือแปะป้ายให้ใครอย่างที่เคยเป็นมา
“My Introvert Story แค่คนเก็บตัว” ความเรียงเล่มนี้จะว่าเป็นหนังสือแนวพัฒนาตัวเองก็ได้ แนวบอกเล่าประสบการณ์ก็ดี แต่เมื่อได้ลองอ่านจนจบ นับว่าเป็นหนังสือฮีลใจที่เข้าถึงหัวใจของอินโทรเวิร์ตได้ลึกมากๆ เล่มหนึ่ง เพราะเขียนโดยชินมินย็อง นักเขียนที่เป็นเดอะแก๊งอินโทรเวิร์ตตัวจริงเสียงจริง (ซึ่งเคยถูกสังคมบีบให้ต้องเป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ตมาก่อนด้วย)
ใครที่เป็นอินโทรเวิร์ตอยู่แล้วน่าจะดำดิ่งกับเล่มนี้ได้ไม่ยาก ด้วยเล่มขนาดพกพา เนื้อหาอ่านง่าย ว่าด้วยเรื่องราวการใช้ชีวิตอินโทรเวิร์ตอย่างเข้มข้นในสไตล์การเล่าแบบบันทึก เหมือนได้อ่านไดอารี่ที่คนอินโทรเวิร์ตด้วยกันเองจะต้องตบเข่าฉาด เพราะมันตรงไปหมดทุกอย่าง เหมือนอินโทรเวิร์ตทั้งโลกผลิตมาจากโรงงานเดียวกัน ทั้งความรู้สึกภายใน ความคิดความอ่าน การใช้ชีวิต สิ่งที่คนอื่นมองอินโทรเวิร์ต และสิ่งที่อินโทรเวิร์ตต้องพบเจอ จนรู้สึกว่าทำไมการเป็นอินโทรเวิร์ตมันเหนื่อยมันซับซ้อนเหลือเกิน ทั้งที่จริงๆ มันควรจะง่าย และมันควรจะมีมุมสงบเงียบให้ชาวอินโทรเวิร์ตอย่างเราๆ ได้หายใจหายคอบ้างสิ
ในเล่มนี้จะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 5 บทด้วยกัน
· มนุษย์อินโทรเวิร์ตแบบสุดขั้ว
: ในบทแรกจะพาเราไปทำความรู้จักกับการเป็นอินโทรเวิร์ต ว่าสิ่งที่คนอื่นเห็นกับสิ่งที่อินโทรเวิร์ตเป็นจริงๆ มันมีข้อแตกต่างยังไงบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการอยู่คนเดียวที่ชาวอินโทรเวิร์ตแฮปปี้มากๆ การไม่ยอมแบ่งความกังวลของตัวเองให้ใคร หรือกระทั่งการที่ชาวอินโทรเวิร์ต แท้ที่จริงแล้วเป็นผู้ให้พลังใจแก่ผู้อื่นซะด้วยซ้ำ
· การอยู่คนเดียวคือการชาร์จพลัง
: บางคนกังวลว่าชาวอินโทรเวิร์ตอยู่คนเดียวนานๆ จะเบื่อบ้างมั้ย จะซึมเศร้าเกินไปรึเปล่า อันที่จริง การได้อยู่คนเดียวในเวลาที่ต้องการ เป็นสิ่งที่ชาวอินโทรเวิร์ตปรารถนามากที่สุด และการไปอยู่ท่ามกลางหมู่คนมากมายอาจไม่ใช่สิ่งที่ชอบใจนัก แต่ก็ใช่ว่าอินโทรเวิร์ตจะอยากอยู่คนเดียวตลอดไปหรือไม่พูดกับใครเลย ในบทนี้เราจะได้เข้าใจว่าการชาร์จพลังของชาวอินโทรเวิร์ตเป็นยังไง และอะไรคือจุดสมดุลที่อินโทรเวิร์ตต้องฝึกบาลานซ์ให้เป็น ทั้งช่วงเวลาที่อยู่กับตัวเอง และช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับคนอื่น
· ความเศร้าเพื่อนรัก
: ด้วยความที่ธรรมชาติของอินโทรเวิร์ตเป็นคนเงียบๆ หลายครั้งเมื่อพบเจอความผิดหวังและความเศร้า เรามักจะเก็บความรู้สึกแย่ๆ ไว้เพียงลำพัง คนภายนอกจึงมักคุ้นชินกับภาพจำที่ว่าชาวอินโทรเวิร์ตมักขมขื่นและจมอยู่กับตัวเองเมื่อทุกข์ใจ อันที่จริงเป็นเพราะเราเลือกวิธีนั้นเองต่างหาก ในบทนี้จะทำให้เข้าใจว่า การที่อินโทรเวิร์ตดำดิ่งไปกับความรู้สึกต่างๆ ภายใน อาจเป็นเพราะดีกว่าหลบหนี และเอาเข้าจริง ความเศร้าก็ไม่ได้แย่เสมอไป มันอาจเป็นเพื่อนที่ปลอบใจได้ดีที่สุดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ถาโถม
· ถูกบังคับให้เป็นคนเข้าสังคม
: เชื่อว่าร้อยทั้งร้อย ชาวอินโทรเวิร์ตต้องเคยผ่านการถูกบังคับให้เข้าสังคม หรือต่อให้คุณไม่ใช่อินโทรเวิร์ตร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ยังต้องผ่านการโดนบังคับอยู่ดี นั่นเพราะเราจำเป็นต้องเข้าสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยปัจจัยหลายอย่าง เช่น การต้องออกไปพูดต่อหน้าคนเยอะๆ การต้องทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ การต้องติดต่อประสานงานซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงการพูดคุยสื่อสารกับคนเยอะแยะมากมายได้ ในบทนี้ นอกจากจะช่วยให้เห็นแง่มุมการปรับตัวเข้าหาสังคมที่บั่นทอนพลังงานชาวอินโทรเวิร์ต ในอีกมุมก็ยังทำให้เห็นว่า การเข้าสังคมนั้นไม่ได้แย่ มันให้ประโยชน์อะไรบางอย่าง และในหลายครั้ง อินโทรเวิร์ตเองกลับสื่อสารและเข้าสังคมได้ดีทีเดียวเมื่อถึงคราวจำเป็นต้องทำแบบนั้น นับว่าเป็นบทที่ช่วยให้อินโทรเวิร์ตได้เจอเส้นแบ่งของการให้พื้นที่กับการสร้างสัมพันธ์ และการให้พื้นที่กับตัวเองได้ดีเลย
· วิธีเยียวยา
: คนเรามีวิธีเยียวยาแตกต่างกันไป อินโทรเวิร์ตก็เช่นกัน และแน่นอนว่าอินโทรเวิร์ตแต่ละคนก็ย่อมมีมุมสงบจิตสงบใจที่หลากหลาย ในบทนี้จะทำให้เราได้เห็นหลายมุมที่ช่วยปลอบประโลมใจชาวอินโทรเวิร์ตได้ดีในวันที่เหนื่อยล้าเพลียหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือเงียบๆ การฟังเพลงคลาสสิก การออกไปคาเฟ่ร้านโปรดและหาที่นั่งในมุมสบายๆ การออกไปเดินเล่นเงียบๆ คนเดียว ฯลฯ ซึ่งเราว่าสิ่งที่นักเขียนเล่ามาก็เอามาปรับใช้ได้เหมือนกันนะเวลาต้องการความสงบเพื่อพักใจกับตัวเอง หรือถ้าหากว่าเราเองมีคนใกล้ตัวเป็นอินโทรเวิร์ต และชอบใช้เวลาลำพังบ่อยๆ บทนี้ก็อาจทำให้เข้าใจธรรมชาติของใครคนนั้นได้มากขึ้น ว่านี่อาจเป็นหนึ่งในวิธีเยียวยาใจของเขา
“สาเหตุที่อินโทรเวิร์ตอย่างคุณรู้สึกเหนื่อยนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แล้วก็ไม่ได้แปลว่าอีกฝ่ายแปลกเช่นกัน แต่เป็นเพราะคุณเกิดมาพร้อมกับอุปนิสัยค่อนข้างเก็บตัวนั่นเอง”
“ชาวเอ็กซ์โทรเวิร์ตเองก็ไม่ต่างกัน แม้ว่าจะได้รับพลังเมื่อถูกห้อมล้อมด้วยผู้คน ซึ่งก็เป็นแนวทางและบรรยากาศที่คนกลุ่มนี้รู้สึกสนุกสนานและเป็นตัวเองได้มากที่สุด แต่พวกเขาเองก็ต้องการเวลาส่วนตัวเช่นกัน”
“ห้องส่วนตัว เป็นดั่งน้ำพุแห่งการสร้างสรรค์ ทั้งยังเป็นป้อมปราการแห่งปัญญาและความเข้าใจ เป็นที่ซึ่งไม่ควรมีใครเข้ามาแทรกแซง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรัก หรือครอบครัว เวอร์จิเนีย วูล์ฟเคยกล่าวไว้ว่า การไม่มีห้องของตัวเองเป็นสาเหตุสำคัญว่าทำไมนักเขียนสตรีในศตวรรษที่สิบเก้าจึงไม่สามารถพัฒนาทักษะของตนได้อย่างจริงจัง”
“แม้จะขยันวิ่งตามคนอื่นแค่ไหน แต่กลับไม่รู้เหตุผลว่าจริงๆ แล้ววิ่งไปเพื่ออะไร ทำแบบนั้นไปทำไม ได้แต่จมอยู่ในความสงสัยแล้วก็แค่วิ่งต่อไป ฉันเคยคิดว่าถ้าพยายามใช้ชีวิตลองผิดลองถูกอย่างเต็มที่ จะทำให้เห็นเส้นทางของตัวเองชัดขึ้น แต่เปล่าเลย มันยิ่งทำให้ตัวฉันค่อย ๆ หายไป ตอนนั้นฉันถึงเพิ่งเข้าใจขึ้นมาบ้างว่าปัญหาคือตัวฉันพยายามเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายอยู่เรื่อย ๆ พอเกิดปัญหาขึ้น แทนที่จะคิดว่าควรแก้ปัญหาอย่างไร ฉันกลับพยายามแล้วพยายามอีกเพื่อเอาชนะมัน สุดท้าย สุขภาพกายใจก็ป่วยตาม สิ่งที่จำเป็นต่อฉันจริง ๆ แล้วคือการหาช่องว่างให้ตัวเองได้หยุดพักต่างหาก”
“ชาวอินโทรเวิร์ตมักเหน็ดเหนื่อยเป็นพิเศษเรื่องความสัมพันธ์กับคน สาเหตุเป็นเพราะหลายคนยังมีความคิดผิดๆ ที่ว่า หากอยากมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ต้องเข้าสังคมบ่อยๆ แล้วบังคับให้ตัวเองต้องเป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ต ทั้งที่จริงคุณควรเรียนรู้ลักษณะนิสัยของตัวเอง และแก้ปัญหาความสัมพันธ์กับผู้คนตามความถนัดที่ตัวเองมี ไม่ใช่ว่าต้องออกไปเจอใครต่อใครบ่อยๆ ท้าทายตัวเองด้วยการพบเจอคนเยอะ หรือเปลี่ยนตัวเองเป็นคนสนุกสนานรับมุกคนอื่นได้ดี”
ภาษาที่เล่าก็เป็นกันเอง อ่านสนุก ให้อารมณ์เหมือนฟังพอดแคสต์สบายๆ เกี่ยวกับการเป็นอินโทรเวิร์ตสักชั่วโมงสองชั่วโมง จึงรู้สึกเพลิน ขณะเดียวกันก็รู้สึกเห็นใจกับคลื่นชีวิตขึ้นๆ ลงๆ ที่อินโทรเวิร์ตคนหนึ่งต้องพบเจอ
นอกจากอ่านแล้ว relate กับชีวิต พยักหน้าตามหลายบท ยังได้แนวคิดไปปรับใช้กับตัวเอง ทั้งในเรื่องของการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นด้วยวิธีที่ไม่ทำให้อินโทรเวิร์ตอย่างเรารู้สึกหมดพลังไปซะก่อน รวมไปถึงการจัดสรร Quality time ให้กับตัวเองอย่างจริงจัง ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า ชาวอินโทรเวิร์ตมักมีโลกส่วนตัวและมีเวลาให้ตัวเองเสมอใช่มั้ย อันที่จริง ส่วนมากเรามักจะหมดเวลาในชีวิตไปกับอย่างอื่น จนไม่ได้สำรวจใจตัวเองบ้างเลยว่ารู้สึกยังไงกับชีวิต ณ ตอนนั้น หรือต้องการอะไรจริงๆ กันแน่ เลยทำให้หมดไฟง่าย แพสชันที่เคยมีต่ออะไรก็ทยอยหดหายไปทีละนิดแบบไม่รู้ตัว การได้มีเวลาอยู่ตามลำพังกับสิ่งที่ชอบจริง ๆ เป็นการเยียวยาที่ชาวอินโทรเวิร์ตปรารถนามันมาก แต่ชีวิตมักไม่อนุญาตให้เป็นแบบนั้น (รวมถึงคนที่ไม่ได้เป็นอินโทรเวิร์ตด้วยนั่นแหละ) เล่มนี้จึงเหมือนช่วยตอกย้ำว่าต่อให้เป็นอินโทรเวิร์ตที่ชอบเก็บตัว ก็ควรจะได้เก็บตัวอย่างมีคุณภาพและมีความสุขนะ
แม้ชื่อเรื่องจะเหมาะกับคนเป็นอินโทรเวิร์ต และแม้ว่าเนื้อหาหลักจะช่วยคลายข้อสงสัยต่างๆ ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจชาวอินโทรเวิร์ตผิดไป รวมไปถึงการชาร์จพลังใจในแบบฉบับของคนชอบเก็บตัว และมุมมองอื่นๆ ที่สังคมมักชอบตีกรอบให้กับชาวอินโทรเวิร์ต แต่จริงๆ แล้ว หนังสือเล่มนี้ก็เหมาะกับทุกคนอยู่ดี เพราะความเป็นอินโทรเวิร์ตมีอยู่ในตัวทุกคนนั่นแหละ หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงช่วยเราเสาะแสวงหาวิธีผ่อนคลายให้ใจสงบท่ามกลางความยุ่งเหยิง แต่ยังทำให้เราได้เข้าใจตัวเอง มองเห็นจุดยืนของตัวเองทั้งในโลกส่วนตัวและในสังคม รวมถึงเข้าใจความเป็น “มนุษย์” ที่ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบที่คนอื่นคาดหวัง และไม่จำเป็นต้องมีสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นตลอดเวลาด้วย
ถ้าอยากเข้าใจโลกของตัวเองและคนอื่น ผ่านแว่นตาของการเป็นอินโทรเวิร์ตให้มากขึ้น ก็ต้องมีเล่มนี้อยู่บนชั้นหนังสือกันแล้วนะคะ