We use cookies
We use cookies to improve your experience and performance on our website. You can manage your preferences by clicking "Change Preferences".Cookie Policy
“โล่งแล้วโว้ยยย” คงเป็นความในใจของวัยรุ่น B2S Club หลาย ๆ คนที่กำลังปิดเทอมอยู่ตอนนี้ หลังจากชีวิตมีแต่เรียนกับอ่านหนังสือสอบกันมาเป็นปี ๆ ถึงเวลาพักยาว ๆ กิน เล่น เที่ยว นอนดึกตื่นสายแบบไม่รู้สึกผิดได้บ้างสักทีเนอะ แต่ใครจะรู้ว่าปิดเทอมของเราไม่เท่ากัน 555 แปป ๆ เดือนสองเดือนเดี๋ยวก็เปิดเทอมแล้ว ยิ่งน้อง ๆ ม.6 ที่กำลังจะอัปเลเวลไปเป็นนักศึกษามหา’ลัย แม้ว่าจะใช้ช่วงนี้หาอะไรทำชิลล์ ๆ ก่อนขยับไปสู่ความซีเรียสอีกสเต็ป แต่ก็คงจะแอบเครียดแอบกดดันกันอยู่ไม่น้อย หลังจากผ่านช่วงกดดันสุด ๆ ตอนสอบเข้ามาแล้ว
จะบอกให้ว่าช่วงปิดเทอมนี่แหละ prime time ที่แท้ทรู นอกจากแบ่งเวลาไปพักผ่อนให้รางวัลกับตัวเองแล้ว ช่วงนี้ก็ถือเป็นจังหวะที่ดีในการ “ลงทุนกับตัวเอง” ด้วยเหมือนกัน วันนี้ B2S CLUB ขอคัดลิสต์หนังสือพัฒนาตัวเองที่อ่านง่าย ย่อยดี และเป็นประโยชน์มาก ๆ เหมาะจะอ่านช่วงปิดเทอมมาฝาก รับรองว่าอ่านเพลิน ได้ทั้งแรงบันดาลใจ และเติมพลังบวกให้พร้อมลุยมหา’ลัยได้แบบสุด ๆ!
เล่มนี้อาจจะคุ้นชื่อหนังสือกันเยอะเพราะมีแต่คนแนะนำ แต่มันก็ดีจริง ๆ นะ ได้แต่บอกตัวเองว่ารู้งี้น่าจะอ่านตั้งนานแล้ว และอันที่จริง ไม่จำเป็นต้องอายุ 20 หรอกถึงควรอ่าน จะอายุเท่าไหร่ก็ได้ ยิ่งได้อ่านเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ใครมีในกองดองรีบแงะออกมาซะ 555
“น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ 20” คือไกด์บุ๊กที่ช่วยให้เราฝึกคิดนอกกรอบ กล้าทดลอง และมองความล้มเหลวให้เป็นครู (มันเป็นสิ่งที่ทำยาก แต่ถ้าฝึกไว้ก่อน ตอนลงสนามชีวิตจริง ๆ อะไรก็จะง่ายขึ้น) Tina Seelig ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ถอดบทเรียนดี ๆ จากห้องเรียนที่สแตนฟอร์ด ผสมกับประสบการณ์จริงจากนักศึกษาและนักธุรกิจ สกัดออกมาเป็นเคล็ดลับที่นักอ่านเอาไปปรับใช้ได้จริง ๆ กับทุกเรื่องในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นวิธีในการมองปัญหาให้เป็นโอกาส, เหตุผลดี ๆ ที่ควรล้มเหลว, วิธีสร้างโชคดีให้ตัวเอง, อย่ารอให้ใครมาอนุญาตให้คุณประสบความสำเร็จ, ถ้าอยากก้าวไปให้ไกล อย่าทำแค่พอผ่าน ฯลฯ
ในเล่มเขาไม่ได้เล่าแบบน่าเบื่อ แต่มีตัวอย่างโจทย์ที่ใช้สอนจริงมาเป็น case study ให้เราอ่านแล้วเห็นภาพมากขึ้นด้วย เช่น ถ้ามีเงิน 5 ดอลลาร์ และเวลา 2 ชั่วโมง จะทำเงินให้ได้มากที่สุดยังไง ? ซึ่งโจทย์ที่มันท้าทายขีดความสามารถของเราก็สะท้อนให้เห็นว่าความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับต้นทุนที่มี แต่อยู่ที่วิธีคิดและการลงมือทำของเราต่างหาก ใครที่กำลังสับสนกับชีวิตหรือกลัวความล้มเหลว กังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง บอกเลยว่าเล่มนี้จะพาเราออกจากคอมฟอร์ตโซนได้แบบง่ายมาก มันเปลี่ยนความคิดในการมองโลกไปเลย จนคิดว่าถ้าได้อ่านตั้งนานแล้ว ชีวิตการเป็นผู้ใหญ่คงจะง่ายกว่านี้มาก เพราะตอนที่เราเผชิญปัญหาต่าง ๆ มันไม่มีใครมาบอก แต่นี่คือสรุปมาให้แล้ว มันคือไกด์บุ๊กช่วยชีวิตจริง ๆ นั่นแหละ
เห็นชื่อหนังสือแล้วตาลุกวาว เพราะเราเองก็เป็นคนนึงที่ทำงานวันวันหนึ่ง จดลิสต์ทูดูเต็มเกลื่อนโต๊ะ แต่งานที่สำเร็จจริง ๆ กลับน้อยมาก แถมใช้เวลาทั้งวันจนเหนื่อยล้าไปหมด “คนเก่งคิดง่าย ไม่คิดยาก” เลยช่วยแอบดึงสตินิดนึงว่าเออ เราจะคิดให้มันยากทำไม เราต้องคิดวิธีที่ทำให้มันง่ายขึ้นสิ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกให้เราทำงานน้อยลง แต่ช่วยให้เราโฟกัสถูกจุด ทำสิ่งสำคัญให้สำเร็จได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเหนื่อยจนหมดไฟ เพราะการที่เราพยายามและใช้เวลากับสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปมาก ไม่ได้มีอะไรการันตีเลยว่าท้ายที่สุดผลลัพธ์จะออกมาดี หรือมันจะตอบแทนความทุ่มเททำงานหนักที่เราใส่ลงไป
เนื้อหาในเล่มเขาจะบอกแนวคิดแบบ Effortless ซึ่งหลายอันมันดีมาก ๆ เลยแหละ ปรับใช้ได้จริงทั้งการเรียนและการทำงาน มันคือการเปลี่ยนจาก Hard Work ให้เป็น Smart Work เลิกทำงานหนักแล้วหันมาทำงานให้ฉลาดขึ้น เพื่อที่ชีวิตจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป ไม่เบิร์นเอาต์ และมีเวลาไปทำอย่างอื่นที่อยากทำ จะได้มีสมดุลชีวิตมากขึ้นด้วย เพราะงั้น หนังสือเล่มนี้เลยเหมือนเป็นทางลัดที่พาเราลัดพวกความซับซ้อนที่ไม่จำเป็น ความเครียดจากการพยายามทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด ให้เหลือแค่เส้นทางหลักที่จะทำให้งานเสร็จและสำเร็จ ในแบบที่เหนื่อยน้อยลงกว่าเดิมมาก ใครอ่านเล่มนี้แล้วบอกเลยว่า จะเรียนหรือทำงานได้แบบติดสปีด เพราะอัปเดตเวอร์ชันตัวเราด้วยสูตรโกงในเล่มนี้ไปแล้ว
เล่มนี้จะคล้าย ๆ เล่มก่อนหน้า คือการพูดถึงวิธีการที่จะบูสต์ประสิทธิภาพการทำงานให้ประหยัดทั้งแรงและเวลาของเรา แต่ความต่างของ "สำเร็จได้สไตล์คนขี้เกียจ" คือการพูดในมุมของคนที่คนอื่นมองว่าขี้เกียจ ซึ่งแท้ที่จริง ความขี้เกียจไม่ได้เป็นข้อเสียเสมอไป อย่างที่หลายคนคงเคยได้ยินว่า คนขี้เกียจมักมีวิธี shortcut การทำอะไรให้ง่ายและเสร็จเร็วขึ้นกว่าคนทั่วไป เล่มนี้จึงช่วยย้ำว่า ความขี้เกียจ ถ้าเรารู้จักใช้มันอย่างชาญฉลาด ชีวิตจะง่ายขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเลย
เนื้อหาในเล่มจะบอก 57 เคล็ดลับที่ช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องละทิ้งความขี้เกียจของตัวเอง (มีกันทุกคนแหละ) ซึ่งแนวคิดหลัก ๆ คือการคิดแบบพลิกแพลง หาวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการทำงาน การสร้างแรงจูงใจและแรงบีบบังคับให้ทำงานได้ต่อเนื่องและสำเร็จ การตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ที่ทำได้ง่ายซึ่งจะช่วยให้รู้สึกมีกำลังใจและไม่ถอดใจระหว่างทาง การหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เสียเวลาเพื่อให้มีเวลาสำหรับสิ่งที่สำคัญกว่า ฯลฯ
ความน่ารักของเล่มนี้คือ เขาออกแบบหนังสือเล่มนี้มาเพื่อคนขี้เกียจอย่างฉันโดยเฉพาะ 555 เนื้อหาจะย่อยเป็นข้อความสั้น ๆ อ่านง่ายพร้อมภาพประกอบ รู้ใจจริง อะไรจะเหมาะกับคนขี้เกียจอย่างเราขนาดนี้ ใครสายชิลล์คือเหมาะสุด ๆ อยากให้ชีวิตมีความ Productivity มากขึ้นด้วยวิธีที่ไม่สุดโต่งเกินไป ต้องอ่านเล่มนี้เลยค่ะ
ถ้าใครชอบฟังพอดแคสต์ พบว่าส่วนใหญ่เกือบร้อยทั้งร้อย จะมีคนพูดถึงเรื่องการตื่นเช้า คือให้ลองเปลี่ยนมาตื่นเช้า เพราะมันคือสล็อตเวลาที่เราจะได้อยู่กับตัวเองเงียบ ๆ ได้ฝึกสมาธิ ฝึกการคิดการเขียน และออกกำลังกาย หรือทำอะไรเงียบ ๆ โดยไม่ถูกใครรบกวน เราเองก็เป็นคนนึงที่อยากทำตามนะเพราะข้อดีของการตื่นเช้ามีเยอะมาก การตื่นสายเป็นอะไรที่เพลียและปวดหัวสุด ๆ แถมง่วงทั้งวันด้วย แต่มันก็ยากมากที่จะเปลี่ยนมาตื่นเช้า
"เลิกเป็นมนุษย์ตื่นสาย กลายเป็นมนุษย์ตื่นเช้า" เล่มนี้พอช่วยให้อยากตื่นเช้าทุกวันได้บ้าง เขารวบรวม 33 เทคนิคในการตื่นเช้าแบบง่าย ๆ ที่ทำตามได้โดยไม่ต้องฝืนเกินไปมาให้เราแล้วในเล่มเดียว ไม่ว่าตอนนี้เราจะเป็นนกที่ตื่นเช้า หรือจะเป็นคุณนายตื่นสาย ในนี้เขาจะบอกทริกที่ช่วยให้ตื่นแล้วเฟรช รู้สึกสดชื่น พร้อมเริ่มวันใหม่แบบมีเอเนอร์จี้ตลอดวัน ซึ่งเราว่ามันเป็นการปรับแบบค่อยเป็นค่อยไปที่ค่อนข้างได้ผล เพราะรู้สึกเลยว่าวันวันนึงเราทำอะไรได้เยอะขึ้น มีเวลาดูแลตัวเองมากขึ้น แถมยังพักผ่อนเป็นเวลา สมองโปร่งโล่งขึ้นด้วย รูทีนเดิม ๆ ก็เปลี่ยนไปเป็นรูทีนใหม่ที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้นไปอีก จากคนตื่นสายกลายเป็นคนตื่นเช้าได้เฉยเลย เราว่าเล่มนี้เหมาะกับคนที่รู้สึกล้า อ่อนเพลีย และอยากปรับชีวิตให้สมดุลขึ้นมาก ๆ บอกเลยว่าแค่ตื่นเช้า ชีวิตก็ดีขึ้นจริง
เล่มนี้ฮิตติดชาร์ตตลอด และกระแสดีทุกช่วงไม่พักเลย เหตุผลเพราะ "ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์" ทำให้เราเห็นกับตาเนื้อว่าชีวิตคนเรามันสั้นแค่ไหนจากตัวเลขบนชื่อหนังสือ
เนื้อหาหลัก ๆ ในเล่มคือแนวคิดที่ช่วยกระตุ้นเตือนเราว่า
ประเด็นคือพอหนังสือมันทำให้เราตระหนักรู้ถึงขีดจำกัดของเวลาในชีวิต ซึ่งโดยเฉลี่ยคือประมาณ 80 ปี หรือเท่ากับเวลาบนโลกแค่ 4,000 สัปดาห์เนี่ย (ตอนนี้ปาไปกี่สัปดาห์แล้วก็ไม่รู้) มันก็ทำให้เราอยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักที แล้วตัดอะไรที่มันท็อกซิกกับตัวเองออกไปง่ายขึ้นมาก เราจะรู้จักใช้เวลามากขึ้นเพราะเรารู้คุณค่าของมัน เราจะฝึกจัดลำดับความสำคัญ และเรียนรู้ที่จะปล่อยวางในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เพราะชีวิตคนเราไม่ได้มีอะไรสมบูรณ์แบบ เหมือนเป็นการฝึกทั้งเรื่องการลำดับความคิด การลำดับความสำคัญ ขณะเดียวกันก็ฝึกเรื่องการปล่อยวางความคาดหวังที่เรามี และให้คุณค่าแค่กับสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตเราเท่านั้น ชีวิตเราจะ Productivity แบบที่ไม่ต้องพยายามให้เหนื่อยเลยอะ เล่มนี้ดีและปรับใช้ได้กับทุกมุมของชีวิตจริง ๆ
จบครบกับลิสต์หนังสือน่าอ่าน 5 เล่มที่อ่านได้เพลิน ๆ ช่วงปิดเทอม (แต่พัฒนาตนเองได้แบบจริงจังและเห็นผลมาก) ไม่ว่าจะอยากเติมไฟ หาแรงบันดาลใจในการเรียน อยากพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นอยู่เสมอ หรือหาวิธีบาลานซ์ชีวิตให้สมดุลกว่านี้ หนังสือที่แนะนำถือว่าช่วยได้เยอะและค่อนข้างครอบคลุมเลย ยิ่งน้อง ๆ มัธยม ถ้าได้อัปเลเวลไประดับมหาวิทยาลัยแล้ว บางทีจะยิ่งรู้สึกว่าเบิร์นเอาต์กับการเรียนและการใช้ชีวิตได้ง่าย ซึ่งการเตรียมความพร้อมไว้ก่อน จะช่วยสร้างนิสัยใหม่ให้เราเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเกินไป ขณะเดียวกันก็ยังได้ใช้ชีวิต และบริหารจัดการเวลาของตัวเองได้
แต่ก็อย่าลืมว่าการลงทุนกับตัวเองคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด ถ้าให้เวลาตัวเองได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว ลองหาเวลาลงทุนกับตัวเองด้วยหนังสือดี ๆ สักเล่มดูนะชาว B2S Club