เข้าสู่ช่วงหน้าร้อนกันแล้ว นักอ่านหลาย ๆ คน คงจะเริ่มมองหาหนังสือในธีมซัมเมอร์ สดใส ๆ มาอ่านเพื่อดับความร้อน เพิ่มดีกรีความชุ่มฉ่ำให้หัวใจกันแล้วใช่ม้าา B2S club มีหนังสือดีๆ ที่ฟีลกู้ดดดดมาฝาก เป็นเล่มที่จะพาทุกคนไปผจญภัยรับลมชมวิวกันถึงเกาะเชจู โดยไม่ต้องเก็บกระเป๋าให้เหนื่อย หรือขึ้นเครื่องบินให้เมื่อย ถ้าพร้อมแล้ว หยิบเครื่องดื่มเย็น ๆ แก้วโปรด แล้วไปอ่านรีวิวกันได้เลย!
เนื้อเรื่องย่อ
“ย็อนเชบี” สะพายกระเป๋าไปเที่ยวพักผ่อนที่เกาะเชจู แต่เมื่อถึงกำหนดกลับ โทรศัพท์มือถือเธอดันเปียกน้ำจนพัง และแน่นอนว่า ตั๋วเครื่องบินกับบัตรเครดิตนั้นอยู่รวมกันในมือถือเครื่องเดียว เป็นเหตุให้เธอไม่สามารถกลับโซลได้ตามที่วางแผนไว้ แต่ถึงกลับไป สำหรับเชบีแล้ว โซลก็ไม่ได้มีที่ให้ไปอยู่ดี “โบรา” เพื่อนร่วมงานที่สนิทก็ดันผิดสัญญาที่ว่าจะให้ไปอยู่ด้วย เงินก็ไม่มี มือถือก็พัง ทั้งหมดนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เชบีได้เข้าทำงานที่สตูดิโอถ่ายภาพฮาคูดา ที่ตั้งอยู่บนหน้าผาในหมู่บ้านหมึกยักษ์บนเกาะเชจู ทำให้เธอได้พบเจอกับเหล่าลูกค้าผู้แวะเวียนมาเก็บความความทรงจำอันล้ำค่าที่สตูดิโอแห่งนี้
สำหรับเราแล้ว การอ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้รู้สึกเหมือนได้ผจญภัยไปกับเพื่อน เพราะในเรื่อง เชบีต้องรับหน้าที่ทำการตลาดเรียกลูกค้าเข้ามาใช้บริการเก็บความทรงจำผ่านการถ่ายรูปที่สตูดิโอฮาคูดา ที่มีทั้งคู่แต่งงานใหม่ แก๊งสิงห์นักบิด รวมไปถึงกลุ่มนักท่องเที่ยววัยรุ่นที่มีแฟนเก่าของเชบีอยู่ในกลุ่มนั้นอีกด้วย บวกกับว่าตัวเชบีเองก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตและผู้คนในหมู่บ้านหมึกยักษ์แห่งนี้ ทำเอาเราทั้งลุ้นและคอยเอาใจช่วยไปกับเชบีตลอด ว่าแต่ละภารกิจจะสำเร็จถูกใจลูกค้าหรือไม่ และด้วยความที่ฉากหลังของเรื่องเกิดขึ้นที่ทะเล ก็จะได้เห็นทั้งวิถีการใช้ชีวิตของคนท้องถิ่น วัฒนธรรมการกินที่เต็มไปด้วยเมนูอาหารพื้นบ้านชวนหิว ได้รู้จักอาชีพเก่าแก่ที่น่าภูมิใจ และธรรมชาติอันสวยงามของเกาะเชจู ที่คุณนักเขียนบอกเล่าผ่านตัวหนังสือได้อย่างเห็นภาพ ทำเอาประทับใจจนอยากให้ทุกคนได้ลองอ่านด้วยตัวเองเลยค่ะ
ตัวอย่างข้อความในหนังสือ
“เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ถอยหลังหนึ่งก้าว ทำสำเร็จร้อยครั้งแล้วค่อยกลับบ้าน”
“ถ้าวางมือจากกล้องถ่ายรูป ผมก็จะไม่เจอความล้มเหลวเลยครับ แต่…แบบนั้นจะเรียกว่าเป็นช่างภาพได้เหรอ”
“ท้องทะเลแผ่กว้างออกไปหลังหมู่บ้านมุลกูร็อกยักษ์ ท้องฟ้าด้านบนนั้นเปิดออกโล่ง มีเพียงดวงจันทร์ครึ่งดวงลอยอยู่ดวงเล็ก ๆ มันเป็นดวงจันทร์ที่ทั้งบางและสีใส หลังจากเห็นรูป พวกเขาก็ปิดปากเงียบ รูปนั้นเหมือนจะขาดอะไรบางอย่างไป แต่ก็เหมือนมีอะไรอยู่เต็มเปี่ยม”
ข้อคิดที่ได้จากหนังสือ
ระหว่างที่อ่านเล่มนี้ เรารู้สึกเหมือนหนังสือกำลังตบบ่าเบา ๆ เพื่อเตือนเราว่า อย่าลืมที่จะกอดเก็บความทรงจำในแต่ละช่วงของชีวิตเอาไว้ แล้วก็อย่าลืมที่จะตั้งใจใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ผ่านแล้วผ่านเลย ไม่สามารถหวนคืนกลับมาได้ หากว่าเราได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และมีความสุขไปกับมัน เมื่อมองย้อนกลับไปจะไม่มีอะไรให้เสียดายแม้แต่วินาทีเดียวเลย อีกทั้งการเก็บความทรงจำเอาไว้ในรูปแบบของภาพถ่าย ยังเป็นอะไรที่มีค่ามาก ๆ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราหยิบภาพเหล่านั้นขึ้นมาดู ทั้งช่วงเวลา ผู้คน บรรยากาศ เสียง และสัมผัสที่เคยเกิดขึ้น จะกลับเข้ามากระทบโสตประสาทของเราเหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนไปยังวันเวลาเหล่านั้นเลยทีเดียว เหมือนกับประโยคที่บอกว่า “ภาพถ่ายคือเครื่องย้อนเวลาสู่ความทรงจำ” นั่นเอง
ความประทับใจ
อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าฉากของเรื่องเกิดขึ้นที่ทะเล หนังสือเล่มนี้เลยให้ความรู้สึกว่าอ่านแล้วสบายใจ ได้ผ่อนคลาย เหมือนได้ไปพักผ่อนเองจริง ๆ อีกส่วนที่ประทับใจไม่แพ้กันคือ การหยิบยกเอาอาชีพเก่าแก่อย่าง “แฮนยอ” ที่แปลว่า “ผู้หญิงแห่งท้องทะเล” ซึ่งมีหน้าที่ดำน้ำเก็บสาหร่าย และหาสัตว์ทะเลเพื่อเอามาขาย มาเล่าเป็นหนึ่งในตัวละครหลักของเรื่อง ทำให้เราได้รู้จักกับอาชีพที่น่าสนใจมาก ๆ ของชาวเกาหลีใต้อีกหนึ่งอาชีพ เรียกได้ว่านอกจากจะได้อ่านนิยายแปลที่ครบรส มีความชวนขำนิด ๆ ดราม่าหน่อย ๆ แล้ว เรายังได้ความรู้เพิ่มเติมไปด้วย ปังไม่ไหว!
ทำไมถึงควรอ่านเล่มนี้
เราว่าหนังสือเล่มนี้ต้องถูกใจนักอ่านสายถ่ายรูป ที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านเลนส์กล้องแน่นอน เราเองก็เป็นคนนึงที่ชอบถ่ายรูปเพื่อบันทึกช่วงเวลาบางช่วงเอาไว้ อาจจะเป็นช่วงที่เรากำลังเศร้าที่สุด มีความสุขที่สุด ภาคภูมิใจที่สุด หรือแม้แต่ผิดหวังในตัวเองที่สุด เพราะเรารู้ดีว่าทุกช่วงเวลาในชีวิตผ่านไปแล้วไม่อาจหวนกลับคืนได้ สิ่งนึงที่จะเป็นเหมือน notification คอยย้ำเตือนความทรงจำของเราได้ดีมาก ๆ ก็คือภาพถ่ายนี่แหละ และด้วยเนื้อเรื่องที่ชวนติดตาม ไม่ได้มีปมเรื่องหนักๆ ให้ชวนปวดหัว แถมยังสอดแทรกข้อคิด เกร็ดความรู้เล็กน้อยมาในเรื่องด้วย บางช่วงบางตอนอาจจะหน่วง ๆ ในใจไปบ้าง เหมือนโดนสะกิดให้เรากลับมาตั้งคำถามทบทวนตัวเอง เลยเหมาะมากสำหรับใครก็ตามที่อยากอ่านนิยายที่สะท้อนชีวิตจริงของมนุษย์แต่ไม่ได้ขมปี๋จนย่อยยากเกินไป
อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้ว ทุกคน ๆ คงอยากรู้แล้วว่า การผจญภัยของเชบีและผู้คนในเกาะมุลกูร็อกยักษ์แห่งนี้จะสนุกครบรสขนาดไหน ภารกิจของเธอที่สตูดิโอจะราบรื่นหรือมีอะไรมาขัดขวางสร้างความลำบากใจหรือไม่ สุดท้ายแล้วเชบีจะอยู่ที่นี้ตลอดไปหรือเก็บกระเป๋ากลับกรุงโซล มาติดตามอ่านเรื่องราวทั้งหมดกันในเล่มนี้ได้เลย