เราเคยอ่านเจอมาว่าการอ่านหนังสือก็เปรียบเหมือนการท่องเวลาในรูปแบบหนึ่ง ในบทความนี้เราเลยจะมาชวนน้อง ๆ GEN Z ท่องเวลาย้อนไปในอดีตผ่านหนังสือประวัติศาสตร์ 6 เล่มที่เล่าอดีตของ 6 เรื่องราวน่าสนใจที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโกหกในหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนาน เรื่องราวการเล่นจนเป็นเหตุให้เกิดวัฒนธรรมเปลี่ยนโลก ไปจนถึงประวัติศาสตร์ของเครื่องดื่มยอดฮิตในชีวิตประจำวัน เป็นต้น
แต่อย่าเพิ่งตกใจไปกับคำว่าหนังสือประวัติศาสตร์นะคะ หลายคนได้ยินคำนี้ก็หาวรอแล้ว เราขอยืนยัน นั่งยัน แถมนอนยันเลยว่าหนังสือที่คัดมาป้ายยาในวันนี้ ทุกเล่มนอกจากจะอัดแน่นไปด้วยความรู้แล้วยังอ่านสนุก รับรองว่าต้องถูกใจจนเพลิน จบไวไม่รู้ตัวอย่างแน่นอน
เอาล่ะค่ะ ถ้าทุกคนพร้อมรับการป้ายยาแล้วก็ลุยกันเล้ย
Natasha Tidd ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้มีดรีกรีเป็นนักประวัติศาสตร์ เธอจะพาเราไปเจาะลึกถึงประวัติศาสตร์เรื่องโกหกระดับโลกทั้งหมด 50 เรื่องและวิวัฒนาการของการโกหกตั้งแต่ยุคโบราณถึงศตวรรษที่ 20 ที่รับรองว่าถ้ารู้ความจริงถึงกับต้องอึ้งแน่นอน บางเรื่องเป็นเรื่องโกหกที่ไม่ยืดเยื้อ โกหกไปแล้วก็จบกันไป แต่บางเรื่องดันเชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์อื่นข้ามศตวรรษ ไม่ว่าจะเป็นการปกปิดถึงผลเสียของการล่าอาณานิคม ความร้ายแรงของสงคราม รวมถึง โฆษณาชวนเชื่อเกินจริงแหกตาประชาชนจนลุกลามเป็นเรื่องใหญ่ไฟลามทุ่ง
นอกจากนั้น เราจะได้เห็นว่าผลของการโกหกยังเชื่อมโยงไปถึงการเกิดและล่มสลายของสิ่งต่าง ๆ ที่เกินควบคุมจนน่าตกใจ เรียกว่าอ่านไปยกมือทาบอกไปเลยล่ะค่ะ ส่วนที่เราชอบมากของเล่มนี้คือการชี้ให้เห็นว่าคำโกหกในอดีตยังคงส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราในปัจจุบันอย่างไรบ้าง และเรื่องจริงบางเรื่องนั้นก็แสนจะน่ากลัวยิ่งกว่านิยายสยองขวัญ เป็นหนังสือที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการโกหกได้น่าสนใจและแปลกใหม่จริง ๆ ค่ะ
หนังสือประวัติศาสตร์ชื่อเก๋เล่มนี้มีที่มาจากเนื้อเรื่องที่เล่าถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของเครื่องดื่มสุดฮิตครองใจมนุษยชาติทั้งหมด 6 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ เบียร์ กาแฟ ไวน์ สุรา ชา และโซดา ตั้งแต่ต้นกำเนิด วิธีทำ ไปจนถึงบทบาทสำคัญของเครื่องดื่มเหล่านี้ที่คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมมนุษย์มาหลายชั่วอายุคน
จากเนื้อเรื่องเราจะได้เห็นว่าเครื่องดื่มทั้ง 6 ชนิดไม่ใช่แค่เครื่องดื่มแห่งการฉลอง ชูกำลัง สัญลักษณ์แห่งความหรูหรา แก้ง่วง ของว่างยามบ่าย หรือเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย แต่คือจุดเปลี่ยนที่ส่งผลให้มนุษย์ก่อสร้างเมืองและลงหลักปักฐาน เป็นสัญลักษณ์ของการกำหนดชนชั้น ขับเคลื่อนการล่าอาณานิคม ปฏิวัติทางความคิดครั้งใหญ่ เป็นชนวนสงคราม ไปจนถึงการครอบงำโลกด้วยวัฒนธรรมนั่นเอง
ส่วนตัวเราชอบเล่มนี้เป็นพิเศษเพราะเนื้อหาที่เรียบเรียงมาให้อ่านง่ายน่าติดตาม หยิบยกเรื่องใกล้ตัวมาอธิบายประกอบกับประวัติศาสตร์โลกได้อย่างสนุกสนาน เรียกว่าได้ความรู้แล้วยังชวนกระหายไปด้วยเลย
ทุกคนเคยสงสัยกันไหมคะว่า กว่าจะมาถึงวันที่แนวคิดหรือสิ่งประดิษฐ์จะน่าเชื่อถือถ้ามีการรับรองทางวิทยาศาสตร์ เหล่านักวิทย์รุ่นบุกเบิกเค้าต้องผ่านอะไรกันมาบ้าง ถ้าอยากรู้ คำตอบอยู่ในเล่มนี้ค่ะ
หนังสือจะพาเราย้อนเวลาไปในเส้นทางอันน่าพิศวงของวงการวิทย์ ตั้งแต่ในยุคที่นักเล่นแร่แปรธาตุหวังเปลี่ยนโลหะให้เป็นทองคำ ไปจนถึงเรื่องราวการค้นพบที่น่าทึ่งชวนให้ตั้งคำถามและการหักล้างกันอย่างดุเดือดของทั้งคนในวงการวิทยาศาสตร์เองและคนธรรมดาที่ต้องการพิสูจน์ความจริง การันตีเลยว่าบางเรื่องน้อง ๆ อาจจะไม่เคยรู้มาก่อนแน่นอน
แม้ชื่อหนังสือจะเป็นเรื่องของ “วิทยาศาสตร์” แต่อย่าเพิ่งคาดหวังว่าในเล่มจะเล่าถึงเรื่องราวของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่มันคือการเล่าถึงประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์เพื่อให้เห็นว่ากว่าจะมาเป็นยุคที่วิทยาศาสตร์มันสุดล้ำขนาดนี้ นักวิทย์ในสมัยก่อนเค้าต้องรับมือกับอะไรกันมาบ้าง ตั้งแต่สู้กับความเชื่อแบบเดิม ๆ เช่น ไสยศาสตร์ที่ฝังรากลึกอยู่ในความคิดที่เต็มไปด้วยความกลัวของผู้คน การตายที่เชื่อว่าเกิดจากภูตผีมากกว่าไวรัส การสวดบูชาแทนที่จะหาหนทางรักษาเมื่อป่วย ไปจนถึงความคิดที่ว่าโลกใบนี้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลอันกว้างใหญ่
เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่เล่าที่มาที่ไปและเรื่องราวของวงการวิทยาศาสตร์ได้ครบรส เราว่าเล่มนี้เหมาะมากสำหรับน้อง ๆ นักอ่านวัยเรียนที่กำลังสนใจในเรื่องวิทยาศาสตร์ หรือกำลังอินกับอาชีพนักวิทย์ หามาอ่านเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเองได้ดีเลยค่ะ
ถ้าพูดถึงความอ้วนเนี่ย ส่วนมากคนก็จะตีทางไปในเชิงลบกันเยอะกว่าเชิงบวกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วถูกไหมคะ ยิ่งในสมัยก่อนที่ความอ้วนแทบจะมีความหมายว่า ขี้เกียจ อ่อนแอ อัปลักษณ์ แย่ที่สุดอาจจะคือตัวประหลาด แต่ในขณะเดียวกันก็คือสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์รวมถึงพลังอำนาจสำหรับชนชั้นสูง หนังสือเล่มนี้จะพาเราไปทำความเข้าใจและท่องไปในประวัติศาสตร์ของความอ้วนว่าตกลงแล้วมันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่กันแน่นะ
เนื้อหาในเล่มเล่าครอบคลุมตั้งแต่ความอยากอาหารในยุคโบราณ ความอ้วนของคนชนชั้นสูง ไปจนถึงมนตร์เสน่ห์ของไขมัน อีกทั้งยังได้เห็นว่าเจ้าไขมันที่อยู่ในอาหารมีบทบาทสำคัญอย่างไรในสังคมและวัฒนธรรมยุคโบราณ
ส่วนตัวเราชอบเล่มนี้ที่เค้าหยิบเรื่องทั่วไปแต่เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้นอย่างความอ้วนมาตีแผ่และเชื่อมโยงถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ ทัศนคติจนถึงค่านิยมของคนยุคก่อน เป็นหนังสือที่อ่านแล้วทำให้มองความอ้วนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเลยค่ะ
หนังสือที่จะพาเราเพลิดเพลินไปกับประวัติศาสตร์การเล่นสนุกที่ไม่ได้มอบเพียงความบันเทิงใจ แต่ยังให้นวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกไปอย่างสิ้นเชิง หรือถ้าจะพูดว่าแต่ละเรื่องที่นักเขียนถ่ายทอดไว้ในเล่ม เป็นการเล่นจนได้เรื่องก็ไม่ผิด
เนื้อหาในเล่มนี้จะพาไปไขข้อข้องใจว่าการเล่นสนุกจะพามนุษย์ไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมจนถึงกู้เอกราชของประเทศได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการประดิษฐ์หุ่นกลที่ส่งผลให้คนมีวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์ ดาราและนักแต่งเพลงที่ช่วยกันคิดค้นสิ่งที่กลายมาเป็นต้นตระกูลของอุปกรณ์สื่อสารไร้สาย ไปจนถึงเรื่องราวของเด็กชายที่พลิกโลกอาหารด้วยปลายนิ้ว เล่าคร่าว ๆ แค่นี้ก็น่าสนใจแล้วใช่ไหมคะ เราอ่านไปก็ทึ่งไปกับในแต่เรื่องที่นักเขียนหยิบมาเล่า แอบกระซิบว่าในเล่มยังมีภาพสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ประกอบเนื้อเรื่องตลอดทั้งเล่มเพิ่มความตื่นตาตื่นใจและอรรถรสในการอ่านอีกด้วย ใครเป็นสายนวัตกรรมพลาดเล่มนี้ไม่ได้น้า
ถ้าพูดถึงความเจ็บป่วยทางใจ ในปัจจุบันนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจมากขึ้นและน้อยคนนักที่จะปล่อยปละละเลยอาการเหล่านั้น ไม่ว่าจะความเศร้า ความเครียด ความวิตกกังวล หากรู้ตัวว่ากำลังเกิดอาการเหล่านี้ล้วนต้องรีบติดต่อขอพบจิตแพทย์หรือนักบำบัดทันทีทันใด แม้แต่คนรอบข้างของผู้ป่วยทางจิตเองก็พยายามทำความเข้าใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อประคับประคองหัวใจของผู้ป่วยให้หายดีในเร็ววัน แต่ในทางกลับกัน ผู้คนในยุคสมัยก่อนศตวรรษที่ 20 กลับมองว่าอาการป่วยทางจิตนั้นคือความบ้าคลั่ง สิ่งที่ตามมาคือผู้ป่วยเหล่านั้นจะถูกกักขัง ล่ามโซ่ รวมถึงรักษาด้วยวิธีที่ผิดศีลธรรมอย่างไม่น่าเชื่อ
หนังสือเล่มนี้ นำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์การรักษาผู้ป่วยทางจิตตั้งแต่ในช่วงที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมไปจนถึงเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดศาสตร์แห่งจิตเวชในที่สุด นักอ่านในยุคปัจจุบันแบบเรามีแต่รู้สึกอึ้งกับทึ่งในสิ่งที่แพทย์สมัยก่อนใช้รักษาคนไข้ ทั้งยาถ่ายเอย ยากระตุ้นให้อาเจียนและอีกสารพัดวิธีที่สุดจะทรมาน บอกเลยว่าอ่านเล่มนี้แล้วนอกจากได้ความรู้ ยังรู้สึกโชคดีที่เราเกิดในยุคการแพทย์เฟื่องฟูและทันสมัยแถมยังเข้าใจแทบทุกอาการป่วย ไม่ถูกตัดสินว่าโดนปีศาจยึดร่างหรืออะไรเทือกนั้น
ป้ายยากันไปครบจบทั้ง 6 เล่มแล้วกับหนังสือประวัติศาสตร์สนุก ๆ ที่ B2S club เราตั้งใจเลือกมาให้ทุกคนได้อ่านในช่วงพักผ่อนจากการเรียนกัน และถึงจะพักจากเนื้อหาวิชาในห้องเรียน แต่การเรียนรู้นั้นไม่ได้จำกัดแค่ที่โรงเรียนหรือในเวลาเรียนเท่านั้น แต่ไม่ว่าช่วงเวลาไหนหรืออยู่มุมไหนของโลกใบนี้ ทุกคนก็สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่สนใจ เพื่อเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับชีวิตได้เสมอ
ขอให้อ่านหนังสืออย่างสนุกและมีความสุขในทุกการพลิกหน้ากระดาษนะคะ
ฝ่ายบริการสมาชิก The 1 หรือ The1 Call Center
ที่หมายเลข 02-660-1000 ได้ทุกวัน ตั้งแต่ 9.00 น. จนถึง 22.00 น. เพื่อแจ้งความประสงค์ขอยกเลิกการรับข้อมูลข่าวสาร
จะมีผลให้ส่วนลด พลังสะสมหรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจะถูกยกเลิกในทันที และหากท่านกลับมาสมัครใหม่ในภายหลังจะถือเป็นสมาชิกใหม่
ของท่านจะถูกยกเลิกทันที หลังจากท่านกดยืนยัน