books-to-reว่ากันตามตรง แต่ละเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา โดยเฉพาะเรื่องดี ๆ มันก็คงมีจังหวะเวลาของมัน เพื่อน ๆ ชาว B2S Club คิดว่าอย่างนั้นมั้ยคะ อย่างถ้าพูดถึงเรื่องชีวิตทั่ว ๆ ไป ตอนอายุ 25 อาจจะเป็นจังหวะที่เราได้งานที่ดี ตอนอายุ 30 อาจเป็นจังหวะที่มีความรักที่มั่นคงเข้ามาหา หรือตอนอายุ 50 เราอาจจะพึ่งค้นพบสิ่งที่อยากทำจริง ๆ หลังจากตามหามันมาทั้งชีวิต
เราคิดว่า หนังสือเองก็ดูเหมือนจะมีจังหวะเวลาของมันด้วยเหมือนกัน เหมือนกับไวน์ที่ต้องรอเวลาบ่มเพาะจนรสชาติได้ที่ถึงจะดื่มอร่อย หนังสือบางเล่มที่เราเคยอ่าน เราอาจจะเคยรู้สึกเกลียดมัน หรือรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์กับชีวิต แต่พอได้กลับมาอ่านอีกทีในช่วงวัยที่โตขึ้น เรากลับชอบมันซะอย่างนั้น เหมือนกับว่ามันเข้ามาได้ถูกจังหวะถูกเวลามาก มาในตอนที่เรากำลังต้องการตัวช่วยพอดี
บางทีมันต้องอาศัยจังหวะที่ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์และประสบการณ์ชีวิตของเราด้วย อาจเป็นโอกาส หรือเป็นความบังเอิญก็ได้ที่ทำให้เราได้ซื้อ ได้หยิบยืม และได้นั่งลงอ่านมัน ซึ่งบางเล่มอาจดีมาก ๆ จนถึงขั้นทำให้เราคิดว่ามันคือหนังสือที่ใช่ แต่ทำไมเราเจอกันช้าไป เพราะควรจะได้อ่านตั้งนานแล้ว !
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราเลยรวบรวม 8 หนังสือดี ที่มีความน่าจะอ่านก่อนอายุ 30 มาให้เพื่อน ๆ ลองเลือกกัน (แต่ถึงจะอ่านก่อนหรือหลังอายุ 30 ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ) เผื่อว่าจะได้แรงบันดาลใจ หรือได้พบข้อความบางประโยคที่เยียวยาจิตใจในตอนนี้ได้ad-before-30s
ก็นั่นสินะ พออ่านชื่อหนังสือก็เริ่มคิด บางทีเรากำลังใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่า เล่มนี้จะชวนเราตั้งคำถามว่า การที่เราทุ่มเท ใช้ชีวิต Productive ตลอดเวลา ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็ต้องดั้นด้นลำบากไปสอบเข้าที่ที่พ่อแม่และสังคมคิดว่าดี พอจบมาแล้วก็ต้องมีการงานที่มั่นคง ต้องรีบมีนู่นมีนี่ตอนอายุเท่านั้นเท่านี้ ฟังดูคล้าย ๆ เป็นชีวิตหุ่นยนต์ที่ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นัก แม้ว่าท้ายที่สุดจะได้ความสำเร็จมา แต่ใจจริง ๆ เราต้องการแบบนั้นหรือเปล่า แล้วถ้าเกิดว่าเราเลือกที่จะไปตามทางของตัวเอง ไม่เดินตามเส้นทางที่คนอื่นบอกว่าดี เราจะกลายเป็นคนประหลาดหรือล้มเหลวมั้ย?
เนื้อหาในเล่มก็จะมีตั้งแต่เรื่องความขยันหมั่นเพียร (ที่บางทีก็หักหลังเรา) การตามใจตัวเองสักครั้ง รสชาติของการลาออก ความหมายของการทำมาหากิน งานที่อยากทำอย่างแท้จริง การไม่สมหวังเป็นเรื่องปกติ ฯลฯ ซึ่งความตั้งใจที่หนังสือเล่มนี้จะสื่อคือ เราไม่ควรจะเฆี่ยนตีหรือฝืนตัวเองให้อยู่ในกรอบจนเกินไปนัก หากเป็นไปได้ ขอให้ลองออกเดินทางและเลือกใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง ทำสิ่งที่ชอบให้เต็มที่ ขณะเดียวกันก็ผ่อนคลาย ไม่ยึดติดหรือคาดหวังจนเกินไป
สุดท้ายจะลงเอยอย่างไร อย่างน้อย ๆ เราก็ได้ลองใช้ชีวิตในเส้นทางที่ต่างออกไปแล้ว และการเลือกเส้นทางชีวิตของเราเอง ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะมีสิทธิ์มาตัดสินว่ามันถูกหรือผิดด้วย
สั่งซื้อ นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ คลิก
ถ้าเพื่อน ๆ เป็นคนนึงที่เคยทำแบบทดสอบบุคลิกภาพ MBTI ก็คงพอรู้คร่าว ๆ ว่าตัวเองอาจเป็น ‘เอ็กซ์โทรเวิร์ต’ (คนที่ชอบเข้าสังคมและกล้าแสดงออก) หรือ ‘อินโทรเวิร์ต’ (บุคลิกตรงกันข้ามที่ชอบเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่อยากสุงสิงกับใคร) แต่บางทีการ แปะป้ายให้ตัวเองว่าเราเป็นคนแบบไหนอย่างที่คนอื่นนิยาม ก็อาจจะไม่ถูกซะทีเดียว เพราะเอาเข้าจริง บุคลิกภาพของคนมันมีเยอะมากกว่าที่แบบทดสอบใด ๆ จะสามารถนิยามไว้ได้ครบ ซึ่งบางครั้ง การที่เราจริงจังกับคำนิยามนั้นและพยายามเปลี่ยนตัวเองไปตามสิ่งที่สังคมคาดหวัง ก็อาจเป็นการใจร้ายกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว
I'm a Centrovert เป็นหนังสือที่บอกเล่าชีวิตของ 'อันโตอี' ที่เคยพยายามเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับคำนิยามและความคาดหวังของสังคมจนเธอรู้สึกว่า ชีวิตช่างยากลำบากและไม่มีความสุขเลย โดยเนื้อเรื่องจะนำเสนอผ่านถ้อยคำง่าย ๆ ที่มาพร้อมภาพประกอบน่ารัก ๆ
เล่มนี้จะทำให้เราหันกลับมาใส่ใจความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น ไม่ต้องพยายามเป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ตที่ร่าเริง หรือเป็นอินโทรเวิร์ตที่เก็บตัวนิ่งเงียบตลอด แต่มาใช้ชีวิตแบบ 'เซ็นโทรเวิร์ต' ที่สนุกกับการเป็นตัวเอง ใช้เวลาเงียบ ๆ กับตัวเองบ้างบางครั้ง ออกไปพบปะพูดคุยกับผู้คนเมื่ออยากไป
สั่งซื้อ เป็นตัวเองในแบบที่ไม่ต้องพยายามเพื่อใคร คลิก
ถ้าเคยรู้สึกว่าใครต่อใครในชีวิต ทั้งคนในครอบครัว คนรัก เพื่อน หรือหัวหน้างาน ชอบล้ำเส้นอยู่เรื่อย และไม่เคารพความเป็นส่วนตัวของเราเลย เล่มนี้เป็นคู่มือที่จะช่วยให้เราเข้าใจการสร้างขอบเขตระหว่างบุคคล สร้างความสมดุลและป้องกันไม่ให้คนอื่นก้าวล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเรา เพื่อที่เราจะได้ความมั่นใจ ความเคารพในตัวเอง และความสุขกลับคืนมา
สำหรับใครที่ยังไม่เคยเจอความท็อกซิกจากผู้คนรอบตัวมาก่อน เล่มนี้ก็อาจจะเป็นไกด์ไลน์เตรียมความพร้อมให้เราเก็บไว้ใช้รับมือกับผู้คนหลากหลายประเภทที่จะได้เจอในอนาคต ซึ่งก็คือโลกของผู้ใหญ่และสังคมการทำงานที่โหดหินขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง
สั่งซื้อ SET BOUNDARIES อย่าให้ใครล้ำเส้น: ชีวิตดีดีเริ่มต้นจากเส้นที่ขีดไว้รอบตัว คลิก
ตอนนี้ใคร ๆ ก็เสพติดกับการใช้โซเชียล เพราะนอกจากจะใช้ฮีลใจได้ดีหลังเลิกเรียนเลิกงาน แถมยังเป็นพื้นที่ให้ได้ระบายความรู้สึกในแต่ละวันออกไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้น โซเชียลมีเดียก็ยังเป็นพื้นที่ที่ทำให้เรารับพิษร้ายมาไว้กับตัวได้ง่าย ๆ โดยไม่รู้ตัวเช่นกัน เดี๋ยวนี้ไม่ว่าใครก็มีโซเชียลมีเดียเป็นของตนเอง และส่วนใหญ่ก็มักจะใช้เป็นเครื่องมือในการกดผู้อื่นให้ต่ำกว่า ส่งผลให้คนที่มีบุคลิกแบบเอาตัวเองเป็นใหญ่ ขาดความเห็นใจผู้อื่น เรียกร้องความสนใจอย่างหนัก มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้คนที่อยู่ใกล้รู้สึกเหนื่อย เครียด หมดความมั่นใจ
หนังสือเล่มนี้จะมาแนะนำวิธีจัดการกับคนหลงตัวเองโดยไม่ทำให้เราต้องลำบากใจ ด้วยโมเดลพฤติกรรม 4 สีที่เรียบง่ายและโด่งดัง ควรค่าแก่การนำไปปรับใช้
สั่งซื้อ วิธีรอดพ้นจากคนหลงตัวเอง คลิก
เราเองก็เป็นคนนึงที่เคยฝืน และปัจจุบันก็ยังคงฝืนทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เป็นตัวของตัวเองเพื่อคนอื่นอยู่ตลอด “ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวพอที่จะอยู่อย่างอดทน” เป็นเล่มที่ยิ่งตอกย้ำกับเราว่า ชีวิตเราสั้นมาก ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะได้ตื่นมามั้ย แต่วันนี้เรายังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นตัวเองจริง ๆ เพื่อตัวเองบ้างเลย ยิ่งการอดทนกับสิ่งแย่ ๆ ในชีวิตเพียงเพื่อไม่ให้ปัญหาเกิดกับคนอื่น หรือต้องอดทนเพราะจำเป็น นั่นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะหมายความว่าสภาพจิตใจของเราถูกกดทับจนยับเยิน
เล่มนี้มาพร้อม 28 วิธีคิด ที่จะช่วยให้เราปลดล็อกตัวเองให้มีชีวิตที่ปลอดโปร่งสบายใจ เลิกฝืนทำสิ่งที่ตัวเองรู้สึกแย่ เลิกเดินตามความคาดหวังของคนอื่น และหันมาใช้เวลาในแต่ละวันเพื่อตัวเองจริง ๆ สักที
สั่งซื้อ ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวพอที่จะอยู่อย่างอดทน คลิก
การแคร์คนอื่นมากไป เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอกับเราทุกคน และเรามักจะหลงลืมว่า เวลาในชีวิตก็มีอยู่แค่หยิบมือเดียว การที่มัวมาสนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา สังคมจะคิดยังไงกับเรา มันบั่นทอนเวลา บั่นทอนกำลังใจให้จิตตก และบั่นทอนอิสระในการใช้ชีวิตไปอย่างมหาศาล
“คิดมากไปทำไม อีก 100 ปี ก็ตายกันหมดแล้ว” เล่มนี้ชื่อเค้าบอกกันตรง ๆ ไปเลยว่าอีกร้อยปีเราก็ตายจากกันแล้ว อย่ามัวแต่ไปสนใจชีวิตคนอื่น หันมาหาความสบายใจใส่ตัวดีกว่า กับข้อคิดเล็ก ๆ ที่จะช่วยให้เลิกคิดฟุ้งซ่าน แล้วเริ่มทวงคืนความสบายใจให้ตัวเองจากหนังสือสุดฮิตที่กลายเป็นกระแสไปทั่วญี่ปุ่น
สั่งซื้อ คิดมากไปทำไม อีก 100 ปี ก็ตายกันหมดแล้ว คลิก
เล่มนี้อาจทำให้หลาย ๆ คนได้กำลังใจ และได้แรงบันดาลใจในการผลักดันตัวเองออกจากเซฟโซนมากขึ้น กับ “ไปในทางที่ไม่รู้” ซึ่งเขียนโดยคุณพาย นักเขียนผู้ผ่านเรื่องยากในชีวิตอย่างการดูแลแม่ที่ป่วยติดเตียงยาวนานนับสิบปีตามลำพัง แต่ด้วยมุมมองและทัศนคติ ทำให้พายเป็นคนที่มีความสุขกับชีวิตที่มีเงื่อนไขของตัวเองได้อย่างน่าชื่นชม และนั่นทำให้พายมักได้รับคำนิยามว่าเป็นคนที่มีจิตใจ 'เข้มแข็ง’ และไม่หวั่นกลัวกับอะไรง่าย ๆ
เป็นเล่มที่เราจะได้อ่านประสบการณ์ด้านที่อ่อนไหว อ่อนแอ และขลาดกลัวของนักเขียนด้วยมุมมองของคนที่โตขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม
สั่งซื้อ ไปในทางที่ไม่รู้ คลิก
ดึงสติตัวเองให้กลับมาจากเรื่องดราม่าวุ่นวายในชีวิต ด้วย “อย่า อยู่ อย่าง ยาก” หนังสือภาพ 4 สี ที่มาพร้อมคำแนะนำแบบย่อยง่าย อ่านเข้าใจง่าย เพื่อรับมือและก้าวข้ามเรื่องยาก ๆ ในชีวิต
ในเล่มอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อน ความรัก การงาน ความเป็นอยู่ มายด์เซ็ต ฯลฯ ซึ่งเป็นบันทึกของนักเขียนชื่อดังอย่าง “เวโรนิกา เดียร์ลี” ที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขัน ผนวกกับการเล่าเรื่องผ่านลายเส้นที่น่ารัก พาเราไปสำรวจประเด็นสำคัญของชีวิตในด้านต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่สุขภาพจิต ไปจนถึงภาพลักษณ์ร่างกาย ภาระ ความรัก ครอบครัว เงิน และเพื่อนฝูง
ท้ายที่สุดเราจะตระหนักได้ว่า สิ่งยาก ๆ ที่กำลังเจอ ไม่ว่ายังไงเราก็จะสามารถผ่านมันไปได้ และเรียนรู้ที่จะอยู่กับพายุหมุนบ้าคลั่งได้อย่างมีความสุข
สั่งซื้อ อย่า อยู่ อย่าง ยาก คลิก
หนังสือ 8 เล่มที่ควรอ่านก่อนอายุ 30 ที่เราเอามาฝากเพื่อน ๆ B2S CLUB กันวันนี้ เชื่อว่าหากทุกคนได้อ่านแล้ว จะเหมือนได้อ่านคู่มือไกด์ที่ช่วยให้เรามีภูมิคุ้มกัน หรืออย่างน้อย ๆ ก็พอรู้วิธีที่จะรับมือกับสารพัดปัญหาที่ต้องเผชิญเมื่อก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ หรืออออ ต่อให้จะวัยเลย 30 มาแล้ว หนังสือเหล่านี้ก็ยังมีประโยชน์อย่างแน่นอน ในแง่ของการฮีลใจให้ตัวเองมีความสุขกับชีวิตบนโลกที่มีแต่ความโกลาหล
อันที่จริงถ้าย้อนกลับไปที่หัวข้อของเรา หนังสือที่ควรอ่านก่อน 30 ถ้าถามว่าทำไมต้องชื่อนี้ อาจเป็นเพราะวัย 30 คือตัวเลขที่ทำให้เรารู้สึกชัดเจนในตัวเองขึ้นว่าเรากำลังจะก้าวไปเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ไปเผชิญกับโลกที่กว้างและวุ่นวายกว่าเดิม ดังนั้น การได้อ่านหนังสือที่ช่วยเตรียมความพร้อมในด้านความคิดและจิตใจ ก็อาจเป็นเครื่องมือสำคัญชิ้นนึงที่ช่วยให้เรากลัวน้อยลง กล้ามากขึ้น เกิดแรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่าง ๆ บาลานซ์ทุกอย่างให้ไม่มากไม่น้อยเกินไป และสนุกกับชีวิตโดยไม่ต้องสนใจตัวเลขที่จะมากำกับความเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ในตัวเรา หวังว่าวันนี้จะได้ลิสต์หนังสือดี ๆ กลับไปอ่านกันเพิ่มขึ้นนะคะ