จากการมาพูดคุยใน Book Club podcast by B2S มาดูมุมมองกว่าจะมาเป็นนักสื่อสาร นักคิด นักเขียนที่ประสบความสำเร็จ ท็อฟฟี่ แบรดชอว์ ทำอย่างไร เป็นอย่างไร คิดอย่างไร อ่านอะไร
Q : ท็อฟฟี่ แบรดชอว์ ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง
A : งานประจำทำงานธนาคาร ด้านการสื่อสาร เกี่ยวกับการเล่าเรื่อง สร้างคอนเท้นท์ต่างๆ เพิ่มพลังให้กับการสื่อสาร ทำให้การสื่อสารมีพลัง แต่หลายๆ คนอาจจะเห็นงานรองมากกว่างานหลักนะ เช่น บทความใน the standard ที่เกี่ยวกับการถามตอบเกี่ยวกับความดราม่าในที่ทำงาน และผมเป็นคนตอบ แล้วก็มีคอลัมน์ประจำใน The standard และก็ทำ Podcast ของตัวเองด้วย ชื่อ I heat my job และล่าสุดก็ออกหนังสือ กี่ดราม่าก็ฆ่ามนุษย์ออฟฟิศไม่ได้ PUT THE RIGHT ME ON THE RIGHT JOB ที่ออกกับสำนักพิมพ์ Cactus
Q : เริ่มต้นเป็นนักขียนได้อย่างไร ทำอะไรมาบ้าง ผ่านอะไรมาบ้าง
A : เริ่มแรกเป็นกองบรรณาธิการนิตยสาร GM โดยเริ่มจากการฝึกงานและได้ทำงานต่อเลย โดยใช้นามปากกาว่า “ท็อฟฟี่ in ……” พอเขียนถึงเรื่องอะไรก็จะเรื่องนั้นมาเติมในช่องว่าง ต่อมาในยุคนึงเราก็มี Hi5 ตอนสมัครคิดว่าใช้ชื่อจริง “ชญาน์ทัต วงศ์มณี” คิดไปคิดมามันดูไม่คลู ไม่เท่ พอไปเห็นซีรี่ย์เรื่อง Sex and the Cities เห็นตัวเอกก็ได้ไอเดีย แล้วก็เปลี่ยนมาเป็น ท็อฟฟี่ แบรดชอว์ แล้วกัน จนได้เขียนเรื่องๆ ต่างใน Note ของ Hi5 เขียนในสิ่งที่เราคิด จนมีคนมาอ่าน และมีสนพ.มาติดต่อเอาไปรวมเล่ม จนกลายเป็นหนังสือเล่มแรกที่มาจาก Hi5
Q: ส่วนมากหนังสือของท็อฟฟี่ มาจากการเขียนออนไลน์เลยรึป่าว หรือมีเล่มไหนที่ตั้งใจเขียนมาเป็นหนังสือเลย
A: หนังสือเล่มแรกมีชื่อว่า “จงเติมคันในช่องว่าง” คันในที่นี้คือการตั้งคำถาม การสงสัย อยากรู้ เป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวที่เราอยากรู้กับสิ่งรอบๆ ตัว ซึ่งเล่มนี้ขายกริบมาก แต่โชคดีมากๆ หนึ่งในคนอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นบรรณาธิการนิตยสาร Volume ซึ่งในยุคนั้นดังมาก นักเขียนที่ได้ไปอยู่คือซังกุงของวงการ จนมีคนชวนมาเขียนคอลัมน์ ตอนที่เค้าให้ทดลองเขียน ทางนิตยสารให้ส่งไป 1 ชิ้น แต่พี่ส่งไป 3 ชิ้นเพราะกลัวเค้าไปรับ มันต้องโดนบ้างแหละ แล้วก็เริ่มมีผลงานต่อๆ มา จนปัจจุบันเขียนหนังสือมาแล้ว 8 เล่ม บางคนก็ยังไม่รู้ ผมเชื่อว่ามีคนเก่งกว่าผมอยู่มาก แต่ผมทำสิ่งเดียวคือไม่หยุดเขียน เพราะถ้าเราหยุดตั้งแต่วันแรก เราอาจจะมาไม่ถึงวันนี้ก็ได้
Q: เรามีวิธีการให้กำลังใจตัวเองยังไงในเมื่อในโลกนี้มีคนเก่งกว่าเราเยอะมากเลย
A: โหมันดีมากเลยที่ในโลกนี้มีคนเก่งกว่าเรา นั่นแปลว่าเราวิ่งไปหาความรู้จากเค้าได้ และการที่เราได้เห็นคนเก่งๆ มันได้แรงบันดาลใจกลับมานะ เราชอบดูคนเก่งๆ เค้าทำงานกันยังไง ทำไมเค้าถึงเก่งขนาดนั้น เค้าต้องขยันยังไง มีมุมมองยังไง ซึ่งเรื่องพวกนี้สุดท้ายแล้วเราสามารถเอากลับมาใช้กับตัวเราเองได้ อันที่สองคือเมื่อเรารู้ว่ามีคนเก่งกว่าเรา มันทำให้เราไม่เหลิงไง มันทำให้เราพัฒนาไปได้เรื่อยๆ
Q: ถ้าวันนึงเรานึกปิ้งไอเดียในการเขียน การทำงานขึ้นมาท๊อฟฟีทำอย่างไร
A: เราจะมีคลังอยู่ เราจะมีเรื่องที่น่าสนใจ อันนี้เรามีคำถามอยู่ เราเก็บมันไว้ในกล่องความคิดของเรา บางทีมัน “Connect the dot” เหมือนกันนะ พอเราโยนเข้ามา แล้วปรากฏว่าบางทีมันตอบคำถามของกันและกันได้โดยเราไม่ตั้งใจ เชื่อมั๊ยว่าบางทีคิดอะไรได้เขียนเก็บไว้ในมือถือเลยและบางครั้งก็กลาบเป็นบทความ งานเขียนได้ บางทีหยิบก็เอามาขัดสีฉวีวรรณ แก้ไขจนสามารถลงเป็นบทความได้ บางทีเขียนได้ตอนออกกำลังกาย บทความเยอะมากที่เกิดบนลู่วิ่ง เราต้องหาภาวะแบบนี้มีสมาธิ ไอเดียโลดแล่น แล้วสังเกตดูไอเดียดีๆ มักจะมาตอนที่เรามีความสุขไม่กดดัน ไม่รู้สึกว่าเราต้องทำสิ่งนี้
Q: หนังสือเล่มปัจจุบันของท็อฟฟี่
A: หนังสือเล่มนี้ชื่อ Put the right me on the right job กี่ดราม่าก็ฆ่ามนุษย์ออฟฟิศไม่ได้ เป็นหนังสือรวมรวมการตอบคำถามดราม่าในออฟฟิศ ก่อนหน้านี้มีหนังสือชื่อ I hate my job ออกไปแล้ว แต่ก็ยังมีคำถามดราม่าเข้ามาอีก จึงทำเล่มที่สองนี้ เล่มนี้ปัญาหดุเดือนมากขึ้น อยากให้ลองไปอ่านเล่มนี้ ต่อให้เราไม่เคยเจอ เพื่อนเราอาจจะเคยเจอ เราอ่านแล้วอาจจะไปช่วยเพื่อนก็ได้
Q: อยากเป็นนักเขียนแบบท็อฟฟี่ทำยังไง
A: เริ่มเขียนเลย ทุกวันนี้เราก็เป็นกวีทวิตเตอร์กันอยู่แล้ว จะเขียนแคปชั่นอย่างไร เราเป็นคนนักเล่าเรื่องกันอยู่ในสายเลือดกันอยู่แล้ว ที่เหลือคือเราจะเล่ามันอย่างไร อย่างน้อยมันก็เป็นบันทึกที่ทำให้เรารรู้ว่าเราคิดอย่างไร มีมุมมองกับเรื่องนี้อย่างไร
Q: เขียนหนังสือมาเป็นเล่มที่ 8 แล้วจัดการกับเวลาของท็อฟฟี่อย่างไร
A: ก็อย่างที่บอกเขียนบนลู่วิ่ง เมื่อไหร่ที่อะไรเป็นสิ่งสำคัญเราจะให้เวลากับมัน เหมือนกับถ้าเราคิดว่าซีรี่ย์เรื่องนี้สำคัญ สนุก เราจะดูมันก่อนนอน งานเขียนก็เหมือนกัน เราคิดว่ามันสคำคัญกับเรา และกับคนอื่นๆ ที่เราเอามุมมองของเราไปช่วยคนอื่นได้ ตอนแรกเราเขียนเพราะ passion ของเรา แต่ตอนนี้เราเขียนเพราะ purpose ของเรามากกว่า เขียนแล้วทำให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง ซึ่งพบว่ามันมีความสุขมาก ทุกวันมีคนส่ง inbox มาปรึกษา ไม่ใช่มีความสุขเพราะเห็นคนมีปัญหานะ แต่เรารู้สึกว่าเราช่วยเค้าได้ เพราะเราคิดว่าตั้งแต่เค้าติดว่าจะมาปรึกษาเรา เค้ากล้าเผชิญกับปัญหาและอยากแก้ปัญหานั้นแล้ว ทำให้เรารู้สึกว่าการเขียนมันมีความหมาย ทุกวันมีคนที่ Move on ทุกครั้งที่จะขี้เกียจจะคิดว่า เมื่อเราเขียนวันนี้จะมีคนที่มีชีวิตดีขึ้น จะมีคนที่จะได้งานเมื่อเราเขียน มีคนที่จะมาบอกว่าจะเดินไปคุยกับหัวหน้าเพื่อแก้ปัญหา มันคือสิ่งที่ปลุกและเขย่าตัวเราให้ลุกมาเขียน (แม้ว่าอยู่บนวิ่ง) หากให้เจอว่าการทำงานของเรามันช่วยคนอื่นให้ดีขึ้นได้อย่างไร
Q: คิดอย่างไรการเขียนออนไลน์ปัจจุบัน
A: รู้สึกดีจังเลย เมื่อก่อนหนังสือเป็นกระดาษก็ถึงคนได้ในระดับนึง พอเป็นออนไลน์มันก็กว้างขึ้นเยอะ เราไม่ได้ยึดติดกับฟอร์แมทเลย เราเขียนอะไรก็ได้ ถ้ามันได้เอาเรื่องราว วิธีคิดส่งไปเป็นความปรารถนาดีของเราไปได้ ถ้าเราไปอาลัยอาวรณ์กับการเปลี่ยนแปลง เราก็จะอยู่กับอดีต ทุกอย่างล้วนมีข้อดีของมัน และอยู่กับมันให้ได้
Q: ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นนักเขียน นักสัมภาษณ์ ไม่ได้เป็นท็อฟฟี่ แบรดชอร์อย่างนี้จะเป็นอะไร
A: เราว่าในโลกคู่ขนานของเรา เราเป็นนักรีวิวรถไฟเหาะตีลังกาอยู่ เป็นคนชอบความหวาดเสียว เวลาไปสวนสนุกจะไปเล่น ยิ่งเสี่ยง ยิ่งชอบ ซึ่งเราพบใน youtube เราพบว่ามันมีอาชีพนี้อยู่ อีกอาชีพนึงคือชอบดูละคร ทำละครเวที ชอบเขียนบท ได้วางว่าใครทำอะไร สุดท้ายคือ อยากเป็นคนคิดพิธีเปิดโอลิมปิก มันมีเรื่องเล่า แอฟเฟ็ก ที่ทุกคนรอคอย ก็คล้ายๆ ผู้กำกับ ออแกไนซ์เซอร์
Q: เป้าหมายต่อไปจากนี้ของท็อฟฟี่
A: เรามองว่าเราเป็นนักสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการพูด การทำ Podcast การเป็น moderator พอเรามาดูแล้วจริงๆ เราชอบการสื่อสาร
Q: แนะนำหนังสือที่ท็อฟฟี่ชอบ
A: จริงๆ ก็ปัจจุบันก็ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นหนังสือแล้วเนอะ อาจจะเป็น podcast หรืออื่นๆ ตแต่ถ้าพูดเรื่องหนังสือจะมีนักเขียนคนโปรดอยู่ เกตุวดี Marumura อาจารย์เกตุ จะเขียนแนวุรกิจแนสคิดของญี่ปุ่น ถ้าให้เลือกหนังสือของอาจารย์เกตุ 1 เล่มก็จะเลือกริเน็น มันเป็นวิธีคิดแบบคนญี่ปุ่นที่ใส่ใจคนอื่น ใส่ใจลูกค้า เราจะไปเปลี่ยนแปลงชีวิตคนอื่นโดยการใส่ใจคนอื่น ทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นได้อย่างไรบ้าง คนที่สองคือ พี่แท็ป คุณรวิศ หาญอุตสาหะ เราทึ่งพี่แท็ปตรงที่เมื่อเค้าศึกษาเค้าจะทำได้ทุกอย่าง อยู่ที่ว่าเราเอาตัวเองไปทดลอง เรียนรู้อย่างเต็มประสิทธิภาพขนาดได้ ให้เราเป็น Superproductive ได้ สุดท้าย พี่หนุ่ม The Money 101 เล่าเรื่องการบริหารเงินที่เข้าใจง่าย สิ่งที่พี่หนุ่มทำมันเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ เอาเรื่องการเงินมาสอนคนอื่นๆ เราควรมีสิ่งนี้ตั้งแต่เราได้เงินเดือนตอนแรกๆ
ติดตามผลงานเล่มล่าสุด กี่ดราม่าก็ฆ่ามนุษย์ออฟฟิศไม่ได้ PUT THE RIGHT ME ON THE RIGHT JOB ได้ที่ http://bitly.ws/9UZ8
หรือติดตามฟัง Book Club Podcast by B2S ตอนอื่นๆ ได้ที่ http://bitly.ws/9UZn