ลมหนาวเริ่มมา บรรยากาศก็เริ่มเป็นใจ ช่วงสิ้นปีทีไรได้ฟีลอยากพักกายพักใจให้เต็มอิ่มทุกที ก็ vibe มันดีอะเนอะ ชาวหนอนหนังสืออย่างเรา ๆ ต้องไม่พลาดหาลิสต์หนังสือดี ๆ มาอ่านกันให้อุ่นใจช่วงสิ้นปีแน่นอน (หรือจะซื้อมาดองเพิ่มฉ่ำ ๆ สร้างกำแพงกองดองคลายหนาวก็ไม่ว่ากัน 555)
สิ่งที่มักจะมาพร้อมกองดองใหม่ ๆ หนังสือใหม่ ๆ บนชั้้นรับเทศกาลส่งท้ายปี ชาว B2S Club ก็คงได้ฤกษ์อยากจรดปากกา เขียนลิสต์ทูดู หรือรายการสิ่งที่อยากทำ สิ่งที่อยากปฏิวัติตัวเองใหม่ในปีหน้านี้ด้วยเช่นกัน เราเชื่อว่าตลอดทั้งปี 2567 เพื่อน ๆ คงได้เผชิญทั้งรอยยิ้ม น้ำตา ความเครียด และความสาหัสของชีวิตชนิด Birth but with me ใคร ๆ ก็อยากทิ้งอะไรไม่ดีไว้เบื้องหลังแล้วเริ่มต้นใหม่ แต่เหมือนมันไม่มีแรงจะมูฟออนหรือลุกขึ้นมาทำอะไรให้จริงจังกว่านี้ อาจเป็นเพราะเราคาดหวังและกดดันตัวเองกันมากเกินไป ความรู้สึกในช่วงปลายปีสำหรับบางคนจึงอาจไม่ใช่ความรีแลกซ์ชิลล์ ๆ หรือความสบายใจ แต่กลับผสมปนเปกันไปหมดระหว่างความขุ่นมัวหม่นเศร้า ความผิดหวัง การฝังใจกับสิ่งที่เคยพลาดพลั้ง และการมีความหวังที่จะริเริ่มอะไรใหม่อีกสักหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าถูกปกคลุมด้วยเมฆแห่งความกังวลก้อนใหญ่
เอาล่ะ ไหน ๆ ก็จะทิ้งทวนปี 67 กันแล้ว เรามารีสตาร์ตชีวิตใหม่กันเถอะ จะเริ่มปีใหม่ทั้งที หนนี้ต้องปฏิวัติตัวเองต้อนรับความปัง วิธีการก็ง่าย ๆ ไม่กดดันตัวเองเกินไปด้วย แค่ต้อง "เติมความสุขให้ตัวเองก่อน" เมื่อเราทำให้ใจตัวเองเป็นสุขได้ เมื่อนั้นชีวิตจะเริ่มเข้าที่เข้าทางอย่างที่เราคาดไม่ถึงเอง วันนี้ขอมาส่งต่อความสุขช่วงสิ้นปี ด้วยลิสต์หนังสือดี ๆ ที่อ่านแล้วแฮปปี้ ชีวีสุขสันต์รับปี 2568 กันค่ะ พร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย Let's go
คนเรามี Good day กับ Bad day กันได้ทุกวัน แต่ส่วนมาก เรามักหนีไม่พ้นวันที่มัน Bad day เต็มพิกัดชนิดแย่เต็มสูบ เหมือนก้าวขาออกจากบ้านผิดข้างยังไงอย่างงั้น “The Joy of small things” เป็นเล่มที่ชี้ให้เราเห็นจุดเล็ก ๆ ที่เรียกว่าความสุขได้จากสิ่งรอบตัว แม้วันนั้นอาจมืดหม่นจนเราหาแสงสว่างไม่เจอเลยก็ตาม
เนื้อหาในเล่มบอกเล่าเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจที่ช่วยปลอบโยนให้เราใช้ชีวิตประจำวันได้ผ่อนคลายขึ้น ใจเบาสบายขึ้น เพียงแค่แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า มองเห็นคนแปลกหน้าจูงหมาน้อยเดินเล่นในสวน ได้กลิ่นหอมของกินแสนอร่อยจากร้านข้างทาง มีสายลมเย็น ๆ พัดผ่านระหว่างทางเดินกลับบ้าน หนังสือชวนเราสังเกตสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ เพราะมันมีความสุขซ่อนอยู่ในนั้นหากเราเพ่งจ้องมันดี ๆ ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า มันมีพลังมากพอที่จะพาเราก้าวข้ามผ่านวันแย่ ๆ ไปได้จริง ๆ เป็นเล่มที่เหมาะจะเติมพลังบวกให้ตัวเองได้ทุกวันจริง ๆ ค่ะ
หากเราเหนื่อยล้า จะหนีเข้าป่าก็คงไม่ได้ เพราะชีวิตไม่อนุญาตให้อินดี้ได้ขนาดนั้น “Live in Peace ไม่เป็นบ้าไปกับโลก” หนังสือฟีลกู้ดจากนิ้วกลมที่จะพาเราร่วมออกเดินทางไปตามหาสันติจากภายใน แกะสลักชีวิตให้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าโลกภายนอก เรามักถูกเร้าด้วยสิ่งที่พาให้ใจแกว่งและหวั่นไหวไปกับสิ่งลวงตาเสมอ
ความสุขไม่ใช่สิ่งที่เราหามันเจอได้ทุกวันหากข้างในไม่สงบมากพอ แต่จะทำอย่างไรให้หามันเจอท่ามกลางความเหนื่อยยากสับสนที่ตั้งอยู่บนคำถามมากมายในชีวิต เล่มนี้มีคำตอบที่เราทุกคนตามหาค่ะ แล้วเราจะไม่บ้าไปกับโลกอีกต่อไป
มนุษย์มักชอบทำให้ตัวเองเจ็บปวด บางทีประโยคนี้ก็จริง บางทีก็ไม่จริง แต่ใจความของมันสรุปได้ว่า เรามักรนหาที่ เอาตัวเองไปผูกพันกับความเจ็บปวดเสมอ แม้จะอย่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
“อย่าให้ใจเราเจ็บ” จะชวนเราไปสำรวจพื้นที่ความเจ็บในหัวใจ พื้นที่นั้นอาจเป็นเขตหวงห้ามที่เราไม่ยอมอนุญาตให้อะไรหรือใครเข้าไปซ่อมแซมมันได้ จนท้ายที่สุดมันเกิดหลุมดำว่างเปล่าขนาดใหญ่อยู่ภายใน รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกโหวง ๆ ว่างเปล่าแบบแปลก ๆ เหมือนว่าไม่มีอะไรจะเติมมันให้เต็ม ซ่อมมันให้กลับมาดีดังเดิมได้อีก
เมื่อสำรวจจนเจอหลุมว่างเปล่านั้น หนังสือจะพาเราหยิบชิ้นส่วนหัวใจที่หล่นหาย กลับมาทายาและประกอบใส่เข้าที่ รอจนกระทั่งมันเยียวยาสมานแผลได้สำเร็จ จากสิ่งที่เรียกว่า “การรักตัวเอง” ช่างเป็นหนังสือที่เข้ากับประโยคที่ว่า รักตัวเองไม่เจ็บเลยสักวัน จริง ๆ และเราจะมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นเมื่อได้อ่านเล่มนี้
ถ้าพูดถึงหนังสือที่ช่วยให้เราเข้าใจคำว่า ความสุข ได้ดีขึ้น เล่มนี้มักจะติดท็อปลิสต์ของใคร ๆ เสมอ และขายดีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยิ่งถ้าอยากเข้าใจเรื่องกฎแรงดึงดูด ยังไงก็หนีไม่พ้นเล่มนี้ “Good vibes, good life ใช้คลื่นพลังบวก ดึงดูดพลังสุข” ผลงานที่การันตีได้ว่าปังมากจากยอดขายและยอดการแปลอย่างถล่มทลาย
เล่มนี้จะพาเราไปไขความลับอย่างนึงของการใช้กฎแห่งแรงสั่นสะเทือน นั่นก็คือการส่งคลื่นพลังบวกออกสู่ภายนอก เพื่อดึงดูดสิ่งดี ๆ กลับมาที่ตัวเองแบบเท่าทวีคูณ ไม่ว่าจะเป็นคำพูด อารมณ์ และการกระทำ เมื่อได้อ่านก็จะเข้าใจว่า การกระทำเพียงเล็กน้อยจากตัวเราเอง ก็เปลี่ยนชีวิตให้มีความสุขแลและสำเร็จอย่างที่ตั้งใจได้ แม้เป็นเพียงแค่การปรับเปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ คล้ายผีเสื้อขยับปีก แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า มันส่งผลได้มากมายมหาศาลอย่างที่คาดไม่ถึงจริง ๆ
รู้สึกไม่มีความสุขเมื่อไหร่ ต้องฝึกรีเซ็ตใจตัวเองให้เป็น “Zero reset magic” เป็นเล่มที่รวมเคล็ดลับที่จะช่วยให้เราฝึกเปลี่ยนความกังวลใจใด ๆ ให้กลายเป็นความหวัง ตัดสารพัดสิ่งที่มันค้างคาหรือทำใจพังออกจากความคิด ความน่าสนใจของเล่มนี้ คือไม่เพียงบอกวิธีที่จะคัดเอาสิ่งที่เป็นขยะรกใจรกความคิดให้ออกไปจากสมอง แต่ยังบอกวิธีที่จะช่วยเราสร้างแรงดึงดูดสิ่งดี ๆ เข้ามา และทำให้ฝันต่าง ๆ ที่วาดไว้เป็นจริงขึ้นมาได้ด้วย
เล่มนี้อาจจะดูเป็นหนังสือปรัชญาอ่านยากเมื่อเห็นชื่อ ในความเป็นจริง “A wonderful life” คือหนังสือที่ชวนเราขบคิดถึงความหมายของชีวิตอย่างใจเย็น แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนเข็มเย็บผ้าเล่มเล็ก ๆ ที่คอยทิ่มนิ้ว กระตุ้นให้เราตอบคำถามตัวเองได้ว่า อะไรคือสิ่งที่เราเฝ้าตามหามาทั้งชีวิต
นอกจากหนังสือจะชวนเราเจาะลึกลงไปในรายละเอียดเล็ก ๆ ของวิถีที่ดำเนินไป Frank Martela นักเขียนผู้เป็นทั้งนักปรัชญาและนักจิตวิทยา ก็ได้ให้คำตอบของคำถามที่เราทุกคนนึกถามอยู่ในใจเสมอมาด้วยว่า ทำไมเรามักเฝ้าเสาะแสวงหาความหมายของชีวิต และจะใช้ชีวิตอย่างไรให้งดงามมากกว่าที่เคยเป็น
เรียบง่ายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เราเดินทางกันมาถึงเล่มที่ 5 ที่ตอบคำถามเราได้ทันทีว่า เราจะหาความสุขในชีวิตได้จากที่ไหน ท่ามกลางโลกที่โกลาหลวุ่นวาย และพาเราติดหล่มอยู่ในชนชั้นสังคมที่ต้องแข่งกันใช้ชีวิตตลอดเวลา
“ใช้ชีวิตง่ายๆ ก็สบายใจเหมือนกันนะ” ชี้ให้เห็นแจ้งชัดเจนว่า ความสุขความสบายใจ มันเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ แค่เราไม่เอาตัวเองไปผูกกับไม้บรรทัดของใคร เราจะมีชีวิตอย่างเคร่งครัด จนไม่มีเวลาให้กับสิ่งที่ใจจริง ๆ เฝ้าปรารถนา หรือสนุกสนานไปวัน ๆ จนคนอื่นคิดว่าเราดูไม่เอาไหน นั่นเป็นสิทธิ์ของเราที่จะใช้ชีวิต ขอเพียงแค่อย่าให้บาร์มันสูงหรือต่ำเกินไปจนขาดสมดุล
บาลานซ์การเผชิญหน้า และการปล่อยผ่านแต่ละสิ่งอย่างในชีวิตได้ เราก็มีความสุขได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาจับจ้องแก่นสารและความเป็นตัวเรา ขณะเดียวกัน ชีวิตก็เบาสบายขึ้นเพราะเราไม่เอาตัวเองไปผูกติดกับภาพชีวิตของใครอื่นเขา
เป็นยังไงกันบ้างคะกับหนังสือแต่ละเล่มที่เอามาแนะนำกัน ใจความสำคัญของหนังสือทั้ง 5 เล่มนี้ ไม่มีอะไรที่ยิ่งหย่อนไปกว่าการบอกกับผู้อ่านว่า “ความสุข” เรามีได้เดี๋ยวนี้โดยไม่ต้องรออะไรเลย ที่ต้องบอกแบบนี้เพราะว่า
“ถ้าเกิดว่าโปรเจกต์นั้นสำเร็จ ฉันคงจะมีความสุขกว่านี้” “ถ้าเกิดว่าตอนนั้นสอบติดที่อื่น ชีวิตก็คงจะดีกว่านี้” สารพัดประโยค What if… ถ้าหากว่า… มักทำให้เราเป๋ เดินเซตกลงไปในหลุมแห่งความทรงจำเสมอ แต่สิ่งที่แย่ยิ่งกว่าการหล่นหายไปในความทรงจำที่ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้ คือการเอาความสุขไปผูกติดกับความคาดหวังและภารกิจอันยิ่งใหญ่
เงื่อนไขกับความสุขไม่เคยเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเอามาผูกกัน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือทั้ง 5 เล่ม จะช่วยกอดให้ใจทุกคนอุ่นไปด้วยความสุขที่เราสร้างได้จากภายในตัวเราเอง มาก้าวข้ามผ่านปีเก่า และมีความสุขต้อนรับปีใหม่ไปด้วยกันนะคะ
Cheers!