We use cookies
We use cookies to improve your experience and performance on our website. You can manage your preferences by clicking "Change Preferences".Cookie Policy
เราว่าถ้าซาวด์เสียงชาว B2S Club เชื่อว่าร้อยทั้งร้อย นอกจากจะเป็นหนอนหนังสือแล้ว ก็น่าจะเป็นคอหนังคอซีรีส์ด้วยเหมือนกัน เพราะจุดเริ่มต้นของทั้งสองสายมักจะทับซ้อนกันอยู่เสมอ บางคนก่อนจะมาเป็นนักอ่านตัวยง ก็อาจจะเริ่มมาจากการได้ดูหนังสนุก ๆ สักเรื่อง แล้วได้รู้ว่ามันมีเวอร์ชันหนังสือด้วย ขณะเดียวกัน หนอนหนังสือก็ผันตัวไปเป็นคนติดซีรีส์ได้ไม่ยาก ถ้าได้รู้ว่าหนังสือที่พึ่งอ่านจบถูกเอาไปสร้างเป็นซีรีส์ด้วยแฮะ และถึงแม้ว่าหนังกับหนังสือจากเรื่องเดียวกัน จะมีเส้นเรื่องไม่ตรงกันไปบ้าง มันก็เป็นเรื่องที่น่าลุ้นว่าทั้งสองเวอร์ชัน จะเล่าออกมาแตกต่างกันยังไง
ประเด็นเปรียบเทียบที่น่าสนใจแบบนี้ เกิดขึ้นกับการเลือกอ่านหนังสือภาษาต้นฉบับและหนังสือแปลด้วยเหมือนกัน สังเกตมั้ยคะ ว่าบางคนก็ชอบที่จะอ่านนิยายแปล ในขณะเดียวกันก็เลือกที่จะอ่านภาษาต้นทางอย่างภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่น ๆ ประกอบกันไปด้วย เพราะเชื่อว่ามันมีสุนทรียะบางอย่างแตกต่างกันอยู่ ซึ่งเครื่องมือแปลงสารที่ทำให้นักเขียนและนักอ่านมาพบกันตรงกลางอย่าง “ภาษา” นี่แหละ ที่หลายครั้งก็ทำให้อารมณ์และความหมายในการเล่าเรื่องเปลี่ยนไป อีกเหตุผลใหญ่ ๆ เหตุผลนึงที่หลายคนเลือกจะอ่านนิยายแปลเวอร์ชันภาษาไทยและอ่านเวอร์ชันภาษาอังกฤษไปด้วย หรือบางคนก็เลือกอ่านเวอร์ชันอังกฤษไปเลยโดยไม่อ่านแบบแปล ก็เพราะต้องการฝึกภาษาไปด้วยในตัว (บางคนก็จำใจต้องอยากฝึกภาษาขึ้นมาซะงั้น เพราะบางเล่มไปอ่านรีวิวจากเมืองนอกมาแล้วน่าโดนมาก แต่เวอร์ชันแปลไทยก็ยังไม่มาสักที)
วันนี้ เราเลยมีหนังสือนิยายภาษาอังกฤษที่บางเล่มก็มีแปลไทยแล้ว บางเล่มก็ยังไม่มี แต่กระแสดีมาก ๆ จากแฮชแท็ก #อ่านตามTikTok และหลายเรื่องก็ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแนะนำเพื่อน ๆ กัน ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะอ่านยากเกินไปรึเปล่า เพราะนอกจากแต่ละเล่มจะสนุกและน่าอ่าน เราก็ยังมีระดับภาษามาให้เพื่อน ๆ เลือกอ่านตามความถนัดของตัวเองกันด้วย ใครอยากลองทลายกำแพงภาษา ตามมาอ่านรีวิวกันเลย
ระดับภาษา : เริ่มต้น (Beginner)
สำหรับนิยายภาษาอังกฤษในระดับเริ่มต้น จะมีระดับภาษาและการใช้คำศัพท์ที่เข้าใจได้ง่าย ส่วนมากจะเป็นศัพท์พื้นฐานที่พบเห็นได้ทั่วไป บริบทไม่ยากเกินไป และเหมาะกับการฝึกภาษาขั้นต้นค่ะ จะสังเกตว่าในระดับนี้อาจจะเริ่มด้วยความเบสิก ๆ จากหนังสือแนววรรณกรรมเยาวชนหรือหนังสือเด็ก แต่จะบอกให้ว่าหนังสือเด็กนี่แหละ สนุกอย่าบอกใคร! อ่านเพลิน แถมยังช่วยให้เราเปิดใจกับการฝึกภาษา และไม่เทไปซะก่อนด้วย เพราะเป็นการฝึกอ่านแบบชิล ๆ เนื้อเรื่องไม่หนัก อ่านแล้วไม่เครียด มาดูกันว่าหนังสือภาษาอังกฤษระดับเริ่มต้น มีเล่มไหนน่าสนใจบ้าง
เรื่องนี้หลายคนอาจจะเห็นบ่อยจนชินตาแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยอ่านสักที (ขอยกมือด้วยคน เห็นบ่อยมากเพราะติดท็อปลิสต์หนังสือสำหรับฝึกภาษาตลอด) ใครอยากเริ่มต้นฝึกภาษาจริงจังเราว่าเล่มนี้เหมาะมาก ๆ เพราะอ่านง่าย มีภาพประกอบกวน ๆ น่ารัก ๆ ตลอดทั้งเล่ม
Diary of a Wimpy Kid หรือในชื่อแปลไทยว่า ไดอารี่ของเด็กไม่เอาถ่าน เป็นหนังสือไดอารี่ของเกร็ก เฮฟฟลีย์ เด็กชายชั้นมัธยมต้นที่บันทึกเรื่องราวแต่ละวันไว้แบบแสบ ๆ คัน ๆ ใครอ่านเล่มแรกจบแล้วยังติดลม ก็มีตอนอื่น ๆ ให้อ่านต่ออีกหลายเล่มเลย ตอนนี้น่าจะมีเกือบ 20 ตอนแล้ว
อยากอ่านเล่มนี้ สั่งซื้อ Diary of a Wimpy Kid คลิก:
ใครชอบแนวแฟรี่เทลแต่แอบหักมุมนิด ๆ ต้องอ่านเรื่องนี้ Land of stories: the wishing spell เป็นเรื่องราวของฝาแฝดอย่างอเล็กซ์และคอนเนอร์ที่จู่ ๆ ก็หลุดเข้าไปในหนังสือเทพนิยายที่คุณย่าให้ไว้เป็นของขวัญวันเกิด ตลอดการผจญภัย สองฝาแฝดได้เจอตัวละครจากเทพนิยายที่เราคุ้นเคยกันดี แต่หลาย ๆ อย่างก็ไม่ได้สวยงามเหมือนเรื่องราวที่เคยอ่านมาเลย น่าลุ้นมากว่าทั้งสองจะหาวิธีกลับมายังโลกปกติของตัวเองได้ยังไง และระหว่างทางต้องเจอกับอะไรบ้าง
อยากอ่านเล่มนี้ สั่งซื้อ Land of stories: the wishing spell คลิก:
มาทิลดา นักอ่านสุดวิเศษ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหญิงที่อัจฉริยะเกินเด็กทั่วไป เธอฉลาดกว่าใครเพื่อน และการชอบอ่านหนังสือก็ดูจะเป็นพรสวรรค์ที่เฉิดฉาย แต่พ่อแม่แท้ ๆ ของเธอกลับละเลยและมองว่าเธอเป็นเด็กประหลาด แถมในชีวิตก็วนเวียนเจอแต่ผู้ใหญ่ใจร้าย อยู่มาวันหนึ่งมาทิลดาพบว่าตัวเธอมีพลังจิต ตอนนั้นเองที่เธอค้นพบวิธีที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากครอบครัวไม่เอาถ่านและพวกผู้ใหญ่ตัวแสบทั้งหลาย
อยากอ่านเล่มนี้ สั่งซื้อ Matilda คลิก:
ระดับภาษา : ปานกลาง (Intermediate)
คราวนี้ขยับจากเลเวลเริ่มต้นมาสู่ระดับกลาง ๆ กันบ้าง สำหรับนิยายภาษาอังกฤษที่มีความยากในระดับกลาง เราจะมีอิสระในการเลือกหนังสือที่อยากอ่านมากขึ้น เพราะเรื่องที่น่าสนใจก็จะมีภาษาที่ซับซ้อนมากขึ้นด้วยนั่นเอง แต่ในระดับกลางก็ยังไม่ยากจนเกินไป ยังอ่านสนุกได้ แล้วก็เป็นการชาเลนจ์ตัวเองที่จะได้เจอศัพท์ใหม่ ๆ และบริบทที่มีความซับซ้อนขึ้นกว่าระดับอ่านง่ายด้วย อาจจะมีสำนวน การเล่นคำ หรือประโยคที่ซ่อนความหมายบางอย่างให้นักอ่านได้ฝึกตีความเอง แต่สิ่งที่เป็นแรงจูงใจในการฝึกอ่านระดับนี้ก็คือหนังสือที่มีให้เลือกอ่านหลายแนวนั่นเองค่ะ
เล่มนี้เป็นนิยายโรแมนติก ผลงานของนักเขียนชื่อดังอย่างแมตต์ เฮก โดยมีชื่อแปลไทยว่า ปรารถนาหยุดเวลา เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งซึ่งเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ และมีอายุยืนยาวมาแล้ว…หลายศตวรรษ ใบหน้าและรูปลักษณ์ยังคงเหมือนคนอายุราว ๆ สี่สิบปี ไม่รู้ว่าเป็นพรหรือคำสาปกันแน่ แต่การเปลี่ยนตัวตนไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้เขายังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ตราบนานเท่านาน ภายใต้เงื่อนไขเพียงข้อเดียวจาก 'ผู้มีอำนาจ' เท่านั้น นั่นคือ “ห้ามมีความรัก”
อยากอ่านเล่มนี้ สั่งซื้อ How to stop time คลิก:
อยากหานิยายอ่านแบบฟิน ๆ อินจนจิกหมอนต้องเรื่องนี้ค่ะ Heartstopper หรือในชื่อแปลไทยว่า หยุดหัวใจไว้ที่นาย เป็นซีรีส์หนังสือภาพที่ว่าด้วยเรื่องราวการค้นหาตัวตนและความรักในวัยรุ่น ผ่าน "ชาร์ลี" เด็กหนุ่มที่เปิดเผยว่าตัวเองเป็นเกย์ และ "นิก" ชายหนุ่มที่อ่อนโยนและมองโลกในแง่ดี ตลอดทั้งเรื่องนอกจากจะได้เห็นมุมมองที่เปิดกว้างเรื่องเพศ นักอ่านเองจะค่อย ๆ ฟินไปกับตัวละครหลักที่เริ่มต้นจากความเป็นเพื่อน ก่อนจะค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์เป็นความรักขึ้นมาจริง ๆ และจะบอกว่าด้วยความที่เค้าเป็นหนังสือภาพสีสันสดใสประกอบทั้งเล่ม เลยทำให้อ่านเพลินจนรู้สึกว่าการฝึกภาษาไม่ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ
อยากอ่านเล่มนี้ สั่งซื้อ Heartstopper คลิก:
เรื่องนี้อาจจะต้องอาศัยการตีความสักเล็กน้อยเพราะมีความเป็นปรัชญาพอสมควร The Alchemist หรือในชื่อแปลไทยว่า ขุมทรัพย์สุดปลายฝัน เป็นนวนิยายที่เล่าเรื่องราวของเด็กหนุ่มเลี้ยงแกะคนหนึ่งที่เฝ้าฝันอยากจะออกไปตามหาขุมทรัพย์ในพีระมิด โดยระหว่างการผจญภัยไปในทะเลทรายอย่างไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางจะเป็นอย่างที่ตั้งใจไว้ไหม ก็มีเรื่องราวมากมายที่ชวนให้ทั้งเด็กหนุ่มและตัวผู้อ่านเอง ได้กลับมาตั้งคำถามกับ ‘ขุมทรัพย์’ ที่เรากำลังออกตามหา
อยากอ่านเล่มนี้ สั่งซื้อ The Alchemist คลิก:
ระดับภาษา : ขั้นสูง (Advanced)
มาถึงระดับแอดวานซ์กันบ้างแล้ว สำหรับนิยายภาษาอังกฤษที่มีความยากในระดับสูง นอกจากคำศัพท์ที่สละสลวยขึ้น และประโยคสนทนาที่บางบริบทเราก็อาจไม่เข้าใจสำนวนหรือคำที่ใช้เท่าไหร่นัก ฉากหลัง วิธีในการบอกเล่า และประเด็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ในเรื่องราวก็ยิ่งทำให้ภาษามีความซับซ้อนขึ้นตามไปด้วย เราจะมีอิสระในการเลือกหนังสือเต็มที่เลยค่ะเมื่อมาถึงขั้นที่ยากแล้ว 555 แถมยังมีแต่เรื่องน่าอ่านเต็มไปหมด ความท้าทายก็มีเพิ่มขึ้นเท่าตัวด้วย แต่ก็จะย้ำกันอีกครั้งว่า ท้ายที่สุด จุดประสงค์ในการฝึกภาษาก็เพื่อทลายกำแพงภาษา ในเมื่อมาถึงระดับยากกันแล้ว ถ้าสามารถฝึกฝนจนอ่านได้เข้าใจแจ่มแจ้ง (ซึ่งจริง ๆ ภาษาก็เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนกันอยู่ทุกวัน เลิกฝึกไม่ได้นะ) นั่นก็เท่ากับว่าไม่มีหนังสือภาษาอังกฤษเล่มไหนในโลกที่เราอ่านไม่ได้อีกแล้วค่ะ
ถ้าใครได้ติดตามเพจนักอ่านทางฝั่งเมืองนอกอยู่บ้าง อาจจะเคยเห็นคลิปที่มีคนอ่านหนังสือเล่มนี้บนเครื่องบินแล้วร้องไห้ไปด้วย อีโมชันนอลที่รุนแรงขนาดนั้นเลยเป็นตัวต้นเรื่องให้ทั้งนักอ่านและชาวเน็ตตามหาหนังสือมาอ่านกันใหญ่เลยค่ะ ว่าจะแตะอารมณ์ได้เบอร์นั้นเลยจริงมั้ย
A Little Life (ซึ่งคาดว่าเดี๋ยวจะมีฉบับแปลไทยออกมาให้อ่านกันแน่ ๆ) เป็นนิยายที่เล่าเรื่องราวของเพื่อนชายสี่คนที่จบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน และตั้งใจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในนิวยอร์กด้วยความฝันที่แตกต่างกันไป ช่วงแรกฉายภาพแบบสไลซ์ออฟไลฟ์ บอกเล่าถึงชีวิตชายหนุ่มที่พึ่งเรียนจบมา คึกคะนองและฟุ้งฝันตามสูตรสำเร็จที่นักอ่านน่าจะพอคาดเดาได้ แต่แล้ว ความน่ากลัวและความทุกข์ทรมานที่แต่ละคนเก็บซ่อนไว้อย่างแนบเนียนก็ค่อย ๆ ปริแตกออกมา เล่มนี้บอกเลยว่าเต็มไปด้วยมวลอารมณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจจนกระดาษแผ่นสุดท้ายค่ะ
อยากอ่านเล่มนี้ สั่งซื้อ A Little Life คลิก:
ด้วยกระแสและเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากนักอ่านสายโรแมนซ์ (มีทั้งกระแสบวกและลบตีคู่กันมาเลย) เรื่องนี้ก็เลยมีการสร้างเป็นภาพยนตร์ และตอนนี้มีฉบับแปลไทยแล้วด้วยนะคะสำหรับเรื่อง It Ends With Us หรือในชื่อ ร่องรอยแห่งรักเรา เป็นนิยายโรแมนติกดราม่า ว่าด้วยเรื่องราวของลิลี่ที่ย้ายมาอยู่บอสตันหลังเรียนจบเพื่อเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง ในตอนนั้นเธอได้พบกับศัลยแพทย์รูปหล่อคนหนึ่ง ซึ่งความสัมพันธ์ก็เริ่มก่อตัวขึ้นจนผูกพันเป็นความรัก ชีวิตคู่เหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ในขณะที่เธอเชื่อว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้จะมั่นคงได้แม้ในใจจะมีความกังวลอยู่ไม่น้อย บางสิ่งบางอย่างที่ถูกปกปิดไว้มิดชิดค่อย ๆ เผยตัวให้ลิลี่ได้รับรู้ว่าสิ่งที่เธอแอบกลัวนั้นจะเป็นจริงขึ้นมา
การใช้ชีวิตคู่ไม่ราบเรียบอย่างที่หวังไว้ และจู่ ๆ รักครั้งแรกของเธอก็ปรากฏตัวขึ้น แม้จะห่างหายจากชีวิตกันไปเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาทำให้คนทั้งคู่ผูกพันเกินกว่าจะอธิบายได้ และนี่อาจเป็นจุดที่ทำให้ชีวิตคู่ของเธอต้องสั่นคลอน (เล่มนี้อาจจะเน้นหนักไปทางดราม่า แต่ก็เป็นเล่มที่บอกเล่าถึงปัญหาความรุนแรงในครอบครัวได้ดีเลยค่ะ)
อยากอ่านเล่มนี้ สั่งซื้อ It Ends With Us คลิก:
เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่กระแสดี มีหนังออกมาให้ชมกันแล้ว และมีหนังสือฉบับแปลไทยในชื่อว่า ปมรักในบึงลึก นิยายที่มีฉากหลังเป็นเขตบึงในชายฝั่งนอร์ทแคโรไลนา เล่าเรื่องราวของ คยา เด็กสาวที่เติบโตเพียงลำพังในเขตบึงแห่งนี้ ครอบครัวทอดทิ้ง ชาวเมืองก็หยามเหยียด มีเพียงบึง สัตว์ป่าน้อยใหญ่ และผืนทรายที่เป็นบ้านให้กับเธอ เมื่อเติบโตขึ้นเป็นเด็กสาวที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร ชายหนุ่มสองคนก็ถูกดึงดูดมาที่บึงแห่งนี้ และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของความโกลาหล เพราะหนึ่งในสองคนนั้นตายอย่างเป็นปริศนาอยู่ในบึง ทำให้คยาตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมทันที เธอจะเป็นฆาตกรจริงมั้ย หรือเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นการจัดฉาก ต้องติดตามอ่านกันในเล่มค่ะ บอกเลยว่าเรื่องนี้นอกจากจะได้สัมผัสกับชีวิตของตัวละคร ตามลุ้นไปกับปริศนาคาใจ ยังได้ซึมซับบรรยากาศและความงดงามของธรรมชาติไปพร้อม ๆ กันด้วย
อยากอ่านเล่มนี้ สั่งซื้อ WHERE THE CRAWDADS SING คลิก:
หวังว่านิยายภาษาอังกฤษน่าอ่านที่มาแนะนำกันในวันนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อน ๆ ชาว B2S Club ลุกขึ้นมาพัฒนาสกิลภาษากันนะคะ เป็นหนอนหนังสือก็อ่านหนังสือกันจนข้ามวันข้ามคืนอยู่แล้ว ยิ่งถ้าไม่มีกำแพงภาษาก็ยิ่งอ่านจนไม่หลับไม่นอนกันแน่ ๆ เพราะชีวิตจะเต็มไปด้วยโมเมนต์สนุก ๆ แถมยังได้ความรู้อีกมากจากการได้อ่านหนังสือทั่วโลกเลย
ก่อนจะจากกันไป ขอแนะนำเคล็ดไม่ลับสำหรับคนอยากฝึกภาษาผ่านการอ่านนิยายภาษาอังกฤษกันสักเล็กน้อย เราเชื่อว่าระหว่างที่อ่าน ๆ ไป เวลาเจอคำศัพท์ไหนที่แปลไม่ออก ส่วนใหญ่เราจะอยากเปิดหาในพจนานุกรมทันทีถูกมั้ยคะ เพื่อที่จะได้แปลให้เข้าใจความหมายไปเลย จริง ๆ แบบนั้นก็เป็นวิธีที่ดี คือไม่เก็บความสงสัยไว้ให้คาใจ ไม่รู้ก็เซิร์ชปุ๊บปั๊บเลย
แต่ขอแนะนำอีกวิธีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียอรรถรสระหว่างอ่าน คือถ้าเจอคำหรือประโยคที่แปลไม่ออก อ่านไม่เข้าใจ ให้ลองอ่านไปเรื่อย ๆ ก่อน อาศัยความหมายจากศัพท์รอบข้าง หรือประโยคก่อนหน้า และประโยคที่ตามมาทีหลัง ในการลองเดาบริบทดูว่า ไอที่แปลไม่ออกมันน่าจะมีความหมายยังไง พออ่านไปจนจบสักบทนึงแล้วค่อยไปเปิดหาความหมาย แล้วลองกลับมาอ่านมันอีกครั้ง คราวนี้เราจะอ่านได้ลื่น เข้าใจเรื่องราวมากขึ้น และจะจำคำศัพท์ได้ขึ้นใจด้วย ยิ่งถ้าลองเซิร์ชอ่านความหมายของคำเป็นภาษาอังกฤษ ก็จะยิ่งทำให้เราลดการแปลประโยคเป็นภาษาไทย และฝึกคิดทบทวนเป็นภาษาอังกฤษด้วย เท่ากับว่าได้ฝึกภาษาเพิ่มไปอี๊ก
เอาละ แนะนำทริกขนาดนี้แล้วจะช้าอยู่ไย แวะไปซื้อหนังสือภาษาอังกฤษที่ร้าน B2S มานั่งอ่านฝึกภาษากันซะดี ๆ