แม้ว่าเดือนแห่งความรักกำลังจะผ่านไป แต่ความรู้สึกในใจยังคงท่วมท้นทุกฤดูกาล เชื่อได้เลยว่าช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เพื่อน ๆ ชาว B2S Club ของเราไม่เหงาแน่ เพราะเรามีลิสต์หนังสือดี ๆ มาฝากกันให้อุ่นใจตลอด แต่ไหน ๆ จะผ่านพ้นเดือนแห่งความรักไปทั้งที ถ้าได้หนังสือดี ๆ เข้าธีมความรักอีกสักเล่มไว้อ่านส่งท้ายหน่อย ก็น่าจะดีต่อใจไม่น้อย
วันนี้เลยอยากชวนทุกคนมาลองอ่านหนังสือเล่มนึงที่เข้าธีมหวาน ๆ (หวานอมขมกลืน 555) เหมาะสำหรับการอ่านส่งท้ายเดือนกุมภาฯ เป็นไหน ๆ อย่างเล่มที่ชื่อว่า “ใครสักคนที่จะรักทั้งเมื่องดงามและยามพังทลาย” ซึ่งหลาย ๆ คนอาจเคยเห็นรีวิวผ่านตามาบ้างแล้ว และอาจลังเลว่าควรอ่านดีมั้ย เพราะเป็นหนังสือที่ออกแนวไม่ได้ทำให้ผู้อ่านฟินจิกหมอน อาจซึม เหงา หรือเคว้งคว้างมากกว่า โดยเนื้อหาในเล่ม จะว่าด้วยเรื่องความรักหลากรสชาติ ผสมปนเปกันไปทั้งเรื่องเล่าที่ไม่ได้หวาน ไม่แฮปปี้สมหวัง บางเรื่องก็ชวนขำ แปลกประหลาด และบางเรื่องก็ไปไกลเหนือความคาดหมาย ปล่อยนักอ่านเคว้งกลางทางกับความรู้สึกอันหนักอึ้ง
ถ้าอยากรู้ว่าเนื้อหาจะเป็นยังไง ตามไปอ่านรีวิวหนังสือเล่มนี้กันเล้ย
เนื้อเรื่องย่อ
“ใครสักคนที่จะรักทั้งเมื่องดงามและยามพังทลาย” เป็นหนังสือรวม 18 เรื่องสั้นที่พูดถึงความสัมพันธ์ในแง่มุมต่าง ๆ นับตั้งแต่วันแรกที่รัก จนถึงวันสุดท้ายที่เลิกรา มีทั้งมุมหวานชื่น ขมขื่น หม่นเศร้า เปลี่ยวเหงา ซับซ้อนอธิบายยาก โดยแต่ละความรักและความสัมพันธ์ จะถูกบอกเล่าผ่านมุมมองของผู้คนที่เต็มไปด้วยบาดแผลและมีจุดเปราะบางในใจ บางเรื่องก็เชื่อมโยงกับความเป็นจริงได้อย่างไม่ยากเย็น บางเรื่องก็ซ่อนสัญญะและความหมายบางอย่างไว้ บางเรื่องก็ดูประหลาดเกินจริง เพราะบอกเล่าผ่านเรื่องราวเหนือจินตนาการ
ต้องยอมรับเลยว่า ต่อให้เป็นเรื่องที่ดูสุดแสนจะธรรมดา หรือเป็นเรื่องที่ดูเพี้ยนหลุดโลกขนาดไหนก็ตาม แต่ในเล่มนี้ มันกลับทำงานกับใจเราได้มากกว่าที่คิดในแง่ใดแง่หนึ่ง หากไม่สะเทือนใจ หรือนั่งเหม่อมองออกไปไกล ก็อาจพบว่า เผลอทาบทับเรื่องราวความสัมพันธ์ในชีวิตตนเองลงไปในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ นั่นก็เพราะเราและตัวละครในหนังสือ ไม่ได้แตกต่างไปกว่ากันเท่าไหร่ เราต่างเป็นมนุษย์ที่เว้าแหว่ง เปราะบาง ไม่สมบูรณ์แบบ มีความเป็นไปได้ที่จะเจอทั้งความรักที่ดีและความรักที่ห่วยแตกพอ ๆ กัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเฝ้าตามหาใครสักคนที่จะรักอยู่เสมอ
จากหน้าปก เพื่อน ๆ นักอ่านก็คงได้รู้แล้วว่าเล่มนี้ เขียนโดย ราฟาเอล บ็อบ-วากสเบิร์ก (Raphael Bob-Waksberg) ผู้สร้างและผู้อยู่เบื้องหลัง BoJack Horseman แอนิเมชันซีรีส์ชื่อดังแนวเสียดสีระทมใจทาง Netflix ที่หลายคนรู้จักผ่านตัวละครมนุษย์หน้าม้าซึ่งมักเจอแต่เรื่องตลกร้ายเหลือทน จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หากหนังสือที่เขาเขียนจะมีสัดส่วนของความชอกช้ำระกำใจมากหน่อย
แต่ถึงอย่างนั้น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า “ใครสักคนที่จะรักทั้งเมื่องดงามและยามพังทลาย” กลับมีความโรแมนติกแอบซ่อนอยู่ไม่มากก็น้อย เพราะนักเขียนได้เล่าไว้ว่า เรื่องสั้นครึ่งหนึ่งในเล่มนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์ช่วงก่อนได้รู้จักกับภรรยา และอีกครึ่งหนึ่งเป็นความสัมพันธ์หลังจากที่ได้พบกันแล้ว มันจึงเป็นความพอดีที่ลงตัว เมื่อรสชาติที่สุข เศร้า เหงา เพี้ยน และตลกร้าย มาผสมเข้าด้วยกันจนออกมาเป็นเล่มนี้ส่งตรงถึงมือนักอ่าน
นอกจากในเล่มจะมีความรักให้ได้ชิมหลากรสชาติ (แบบที่เลือกรสไม่ได้ด้วย ต้องลองชิมเองแต่ละบทแล้วจะรู้) ภาษาและวิธีที่นักเขียนใช้เล่าในแต่ละเรื่องก็มีให้เสพหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่า เรื่องสั้น (ที่สั้นกว่าเรื่องอื่น ๆ อีกที) และบทกวี รวมไปถึงการใช้อุปมาอุปไมย ซึ่งบางตอนก็ยอมรับว่าอ่านแล้วงงบ้าง เป๋บ้าง แต่บางบทก็เข้าใจความหมายที่ต้องการจะสื่ออย่างลึกซึ้ง ราวกับเข้าไปนั่งในใจผู้เขียน
ตัวอย่างข้อความในหนังสือ :
“เขาคิดว่าโลกนี้มีคนอยู่สองประเภท ได้แก่ คนประเภทที่คุณไม่อยากเข้าไปสัมผัส เพราะคุณเกรงว่าจะทำให้พวกเขาแตกสลาย และคนประเภทที่คุณอยากทำให้พวกเขาแตกสลาย”
“ทุก ๆ เจ็ดปี เซลล์ในร่างกายของเราจะเกิดแทนที่ตัวมันเอง และเราก็จะกลายเป็นคนใหม่อย่างสิ้นเชิง ทุกเรื่องที่เคยทำให้คุณร้องไห้ จะทำให้คุณกลอกตาใส่ และเรื่องที่คุณเคยกลอกตาใส่ กลับทำให้คุณร้องไห้”
“หากจุดจบหยั่งรากในจุดเริ่มต้นเสียทุกครา เราจะตามหารักไปทำไม”
ความประทับใจ : ในบรรดา 18 เรื่องสั้น “ฤกษ์งามยามดี” เป็นเรื่องที่เราประทับใจมากที่สุด เล่าถึงเรื่องราวของคู่รักที่ถูกคนใกล้ตัวบีบให้จัดงานแต่งงานตามกรอบธรรมเนียมประเพณี ต้องทำพิธีและเตรียมการใด ๆ เหมือนอย่างที่คนอื่นเขาทำกันมา แน่นอนว่าบ่าวสาวที่รักความสงบย่อมไม่เห็นด้วยกับความเยอะยุ่งยากใด ๆ ส่งผลให้เกิดความวายป่วงตามมาสำทับเป็นระลอก ท้ายที่สุด เมื่อต่อต้านไม่ได้ก็ต้องเข้าร่วม ประทับใจที่เรื่องนี้ขมวดจบได้อย่างงดงาม ชวนขำและพอให้ได้คลี่ยิ้มบ้างในตอนท้าย (แอบมีเลือดสาดด้วยนะบอกก่อน)
ข้อคิดที่ได้จากหนังสือ : เราว่าเล่มนี้มันอาจไม่ได้กำลังสอนเราให้รู้ซึ้งว่าความรักที่ดีคืออะไร แล้วเตือนเราว่าความสัมพันธ์ที่แย่คือแบบไหน แต่มันกำลังฉายภาพผ่านเรื่องเล่าในจินตนาการทั้ง 18 เรื่องให้เราได้เห็นมิติของความรักความสัมพันธ์ว่ามีอะไรบ้างที่เป็นสมการและเป็นตัวแปรสำคัญ จะโรแมนติก ชอกช้ำ น่าปวดหัว สลับซับซ้อน เปราะบาง และแตกสลายได้ง่ายดายเพียงใด เรื่องสั้นทั้งหมดต่างก็สะท้อนมันออกมาได้ดีในแง่ที่ว่า มนุษย์ทุกคนต่างมีส่วนที่เว้าแหว่ง ขาดหาย ถึงอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ตนเองสมบูรณ์พร้อมจึงจะมีความรัก (ที่ดีและไม่ดี) กับใครสักคนได้
บางเรื่องจึงอาจพาเราย้อนอดีตกลับไปหาใครบางคน บางเหตุการณ์ก็อาจทำให้นึกถึงคนข้าง ๆ และบางคำพูด ก็อาจทำให้เราได้กลับไปแตะความทรงจำที่ไม่ว่ากี่ปีผ่านไป ก็ยังรู้สึกปวดใจ คับข้องใจ หรือดีใจที่ได้นึกถึงเสมอ ฉะนั้น ข้อคิดที่ได้จากเล่มนี้น่าจะสรุปได้เพียงว่า จงรักษาไว้ให้ดีเถอะ หากสักวันหนึ่งคุณได้เจอใครคนนั้น ใครสักคนที่จะรักเราทั้งเมื่องดงามและยามพังทลาย
ทำไมถึงควรอ่านเล่มนี้ : ถ้าลองเซิร์ชดูฟีดแบ็กเล่มนี้ จะพบว่าส่วนใหญ่แบ่งได้ 2 แบบ หากไม่ประทับใจแบบสุด ๆ ไปเลยก็จะเป็นลักษณะที่อ่านแล้วรู้สึกแปลก ๆ ว่าตกลงแล้วเรื่องเล่าในเล่มนี้ทำงานยังไงกันแน่ หรือควรจะรู้สึกอย่างไรเมื่ออ่านจบ ซึ่งความที่ฟีดแบ็กมันสูสีกันชนิดที่คนยังไม่ได้อ่าน (แต่สนใจอยากอ่าน) รู้สึกเคว้งว่าเอาไงดีน้า เราว่ามันคุ้มค่าแน่นอนที่ทุกคนจะได้ลองหามาอ่าน เพื่อจะได้เจอคำตอบนั้นด้วยตัวเองว่าเล่มนี้มันยังไงแน่ เพราะไม่ใช่แค่เอกลักษณ์ของแต่ละเรื่องที่ชวนติดตาม แต่ลักษณะภาษาที่นักเขียนเลือกใช้ ยังเป็นอรรถรสอีกอย่างที่ทำให้ 18 เรื่องสั้นถูกเล่าออกมาไม่เหมือนกันเลยสักนิด อร่อยกันไปคนละแบบ
จนถึงตรงนี้ เชื่อว่านักอ่านหลายคนคงจะอยากรู้แล้วล่ะว่า เรื่องราวความรักแต่ละรูปแบบ ความสัมพันธ์ที่ทั้งจริงจังและฉาบฉวย รวมไปถึงความวายป่วงที่พ่วงมากับความรักจนชวนขำในเล่มนี้ จะเล่นกับความรู้สึก และเข้ามาเปิดลิ้นชักความทรงจำชั้นไหนของเราบ้าง พร้อมแล้วก็จิ้มที่ลิงก์ แล้วพากันนั่งไทม์แมชชีนกลับไปพร้อม ๆ กันกับตัวละครในเล่มนี้เลย