จะปีนี้หรือปีไหน แฮชแท็ก #อ่านตามไอดอล หรือ #ไอดอลอ่าน ก็กระแสแรงดีไม่มีตกมาตลอดทั้งในสื่อโซเชียลและร้านหนังสือบ้านเรา โดยเฉพาะจากทางฝั่งศิลปินเกาหลี ที่หลาย ๆ คนโดนตกเข้าด้อมกันได้ง่าย ๆ นอกจากจะด้วยความสวยหล่อ ความสามารถ และไลฟ์สไตล์ ก็มีหนังสือที่เขาหรือเธอเลือกหยิบมาอ่านนี่แหละ ที่ทำให้ชาวเราสนใจและอยากอ่านตามบ้าง เพราะอยากรู้ว่าไอดอลที่เราชื่นชอบ มีความคิดความอ่านอย่างไร ชอบหนังสือแนวไหน และทำไมถึงเลือกหยิบเล่มนั้น ๆ มาอ่าน
วันนี้เราเลยจะชวนมาส่องหนังสือขายดี ที่น้องเล็กแห่งวงบังทัน ‘จองกุก BTS’ อ่าน ซึ่งเล่มนั้นก็คือ “I Decided to Live as Myself ฉันจะมีชีวิตในแบบของตัวเอง” โดยเล่มนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร น่าสนใจยังไง แล้วจะเป็นเล่มที่เหมาะกับเราไหมนะ ตามไปอ่านรีวิวหนังสือที่ #ไอดอลอ่าน กันเลย
เนื้อเรื่องย่อ
“ฉันจะมีชีวิตในแบบของตัวเอง” เขียนโดย Kim Suhyun เป็นหนังสือความเรียงแนวฮีลใจที่เปรียบเสมือนคู่มือ (อย่างดี) ช่วยแนะนำให้เรารู้จักกับโลกจริงของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างตรงไปตรงมา จากประสบการณ์ที่นักเขียนนำมาเล่า ซึ่งก็มีผสมปนเปกันไปในหลาย ๆ มุม ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องสมัยเรียน ไปจนถึงการนึกสงสัยในตัวเอง ความกังวล ความไม่มั่นใจ และความเคารพในตัวเองที่ถดถอยลงเรื่อย ๆ ทั้งจากคนรอบข้างและปัจจัยอื่น ๆ
หนังสือเล่มนี้ นอกจากจะช่วยไกด์เราแล้ว ยังปลอบโยนเราให้คลายความสงสัยในตัวเองหลาย ๆ เรื่อง ช่วยปลดล็อคความกังวลที่เผลอแบกใส่บ่าจนอ่อนล้าให้เบาบางลง และช่วยเขย่าสติ ย้ำเตือน (สิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว) ให้รู้ตัวอีกทีว่า เราก็แค่คนธรรมดา ไม่มีใครที่ไหนมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบหรอก ไม่ว่าจะมีเรื่องสุขใจหรือทุกข์ใจ เดี๋ยวก็จะผ่านมันไปได้ เพราะชีวิตยังต้องไปต่อ
ในหนังสือจะแบ่งหมวดหมู่เนื้อหาเป็น to do list (ที่นักเขียนย่อยมาให้แล้วจากประสบการณ์จริง และอยากให้ลองทำตาม “ลิสต์ความคิด” เหล่านี้ดู) แยกออกเป็น 6 พาร์ตหลัก ๆ ดังนี้
เช่น ไม่ใจดีกับคนที่ไม่ใจดีกับฉัน, ไม่สั่นไหวไปตามคำพูดของคนอื่น
เช่น ทำให้การเคารพตัวเองแข็งแกร่ง, อย่ามีชีวิตอยู่เพื่อความหวังของคนอื่น
เช่น อดทนต่อสิ่งไม่ชัดเจนที่เรียกว่าชีวิต, เมื่อเหนื่อย ก็บอกว่าเหนื่อย
เช่น อย่าอายในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องอาย, อย่าพยายามเป็นคนดีเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกเกลียด
เช่น พูดเรื่องไม่สนุกเป็นบางครั้ง, อย่าตำหนิตัวเอง
เช่น ใช้ชีวิตเบา ๆ , โบกมือลาอดีตที่ผ่านไป
ความเรียงในเล่มนี้ แต่ละหน้าจะมีความสั้นกระชับ ไม่ยืดเยื้อ เราสามารถเลือกอ่าน to do list ที่สนใจก่อนก็ได้ โดยไม่ต้องเรียงหน้าไปตามสารบัญ แต่ใด ๆ ก็อยากจะบอกว่าเล่มนี้ ควรค่าแก่การอ่านจบทั้งเล่มเลย เพราะนักเขียนเล่าด้วยภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ย่อยง่าย (ต้องขอบคุณนักแปลด้วยที่แปลได้เก่งมาก ๆ ) และยังมีภาพประกอบน่ารัก ๆ ที่นักเขียนเป็นคนลงมือวาดเองด้วย
ที่สำคัญคือ ในแทบทุกบท อ่านแล้วจะสามารถ Relate ตามได้ ชวนพยักหน้าหงึก ๆ สุด ๆ เพราะหลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักเขียน ก็อาจเคยเกิดขึ้นกับทุกคนมาแล้ว (อะไรที่ยังไม่เกิด ก็ถือว่าได้คำแนะนำไว้เป็นไกด์ให้อุ่นใจ) บอกตรง ๆ ว่าอ่านแล้วเหมือนโดนกระชากสติ (ที่ฟุ้งไปไกล) ให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว 555 วันไหนที่ได้อ่านสักหน้าสองหน้าก็เหมือนได้ชาร์จแบตฯ ตัวเองให้กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง ไม่ว่าแบตฯ ก้อนนั้นในตัวเราจะเคยเสื่อม เคยรั่ว หรือบวมจนแทบจะระเบิดก็ตาม
ตัวอย่างข้อความในหนังสือ :
“คนมีความสุขหกถึงเจ็ดครั้งจากสิบครั้ง คือคนที่มีความสุข แต่ถ้าพยายามจะมีความสุขทั้งหมดสิบครั้ง มันเป็นไปไม่ได้”
“ถ้าคุณละอายใจ และรู้สึกถึงการเป็นหนี้บุญคุณ อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าทำไมถึงเป็นหนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้มากน้อยแค่ไหน ก็ห้ามตำหนิตัวเองเด็ดขาด สังคมที่ทำให้เราเป็นหนี้คือสังคมที่ป่วย ชีวิตของเราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”
“ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ดังนั้นเราจึงไม่ควรเกลียดใคร และควรเอือมระอากับความอวดดีที่แสดงว่าตนเองสมบูรณ์แบบ”
“สำหรับชาวต่างชาติ หมู่บ้านยากจนในชนบทคือสิ่งที่น่าหลงใหล
สำหรับนักท่องเที่ยว ชนเผ่าต่าง ๆ คือประสบการณ์ในชีวิต
สำหรับบุคคลที่สาม โศกนาฏกรรมของใครบางคนคือหัวข้อซุบซิบนินทา”
“เราไม่หยุดอยากรู้อยากเห็นในเรื่องราวของคนอื่นที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน
แต่ถ้าเป็นเรื่องของเราเอง เราจะอยากให้คนอื่นอยากรู้อยากเห็นหรือเปล่า”
“เราไม่มีสิทธิ์ที่จะอยากรู้ชีวิตส่วนตัวของคนอื่น
ถ้าไม่ชอบให้ชีวิตเราขึ้นไปอยู่บนเขียงของคนอื่น ก็ต้องให้เกียรติชีวิตคนอื่น”
“การหยุดอยากรู้อยากเห็นชีวิตส่วนตัวของคนอื่น เป็นเงื่อนไขที่เราสามารถใช้ปกป้องชีวิตของตัวเองได้ อีกทั้งยังเป็นมารยาทเล็กน้อยที่สุดที่เราสามารถแสดงให้แก่กันและกันได้ในฐานะมนุษย์”
ข้อคิดที่ได้จากหนังสือ :
แต่ละพาร์ต แต่ละหน้าในหนังสือก็ให้ข้อคิดดี ๆ แตกต่างกันไป แต่หลัก ๆ แล้ว เราว่าเล่มนี้กำลังจะบอกให้เราใช้ชีวิตให้เบาสบายที่สุด ด้วยการเริ่มปลดสัมภาระที่ไม่จำเป็นกับชีวิต (ความกังวลใจ, การเปรียบเทียบความสำเร็จของตัวเองกับคนอื่น, การแคร์สายตาและความคิดของคนรอบข้างมากเกินไป ฯลฯ) และทิ้งมันไว้กลางทางได้แล้วตั้งแต่ตอนนี้ เพราะหนทางชีวิตข้างหน้ายังอีกยาวไกล เมื่อไหร่ที่เป็นอิสระจากสัมภาระเหล่านั้นได้ ก็จะได้มีชีวิตในแบบของตัวเองจริง ๆ สักที และต้องไม่ลืมด้วยว่า เราก็เป็นแค่คนธรรมดา สุขได้ ร้องไห้เป็น
เล่มนี้เหมาะกับใคร :
จริง ๆ แล้วเล่มนี้เราว่าเหมาะกับทุกคน ทุกเพศ ทุกช่วงวัย เพราะเป็นหนังสือกอดใจที่ดีเล่มหนึ่ง และเนื้อหาไม่เวิ่นเว้อ ใครก็ตามที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งอะไรเลยสักอย่าง ไม่รู้ว่าความถนัดของตัวเองคืออะไร ไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง กังวลถึงความไม่มั่นคงต่าง ๆ ในชีวิต (อายุป่านนี้ยังไม่มีงานที่มั่นคง ยังไม่มีรถขับ บลา ๆๆ) รู้สึกกดดันจากความคาดหวัง ทุกข์ใจกับความสัมพันธ์ที่ชวนให้รู้สึกอึดอัด ท้อใจกับความฝันที่ยังไม่อาจทำให้เป็นจริงได้ในตอนนี้ เผลอเปรียบเทียบความสำเร็จของคนอื่นกับตัวเองจนมองว่าตัวเองเป็นคนอ่อนแอ ฯลฯ (เชื่อว่าทุกคนนั่นแหละที่เคยเจอ หรือกำลังเจออยู่ในตอนนี้) ก็ควรอ่านเล่มนี้ทั้งนั้น
ทำไมถึงควรอ่านเล่มนี้ :
อย่างที่เราบอกไป ว่าหนังสือเล่มนี้กอดใจได้ดีทุกเพศทุกวัย เพราะช่วยเยียวยาสารพัดความว้าวุ่นยุ่งเหยิงได้ในแบบที่ไม่บังคับขู่เข็ญให้เราต้องพัฒนาตนเอง หรือต้องเป็นคนเก่งมันซะเดี๋ยวนี้ แต่เป็นเล่มที่ช่วยให้ค่อย ๆ ปรับมุมมอง และเริ่มต้นคิดใหม่ทำใหม่ไปตาม to do list โดยไม่โบยตีตัวเอง แถมเนื้อหายังย่อยง่าย อ่านเข้าใจง่าย มีภาพน่ารัก ๆ ประกอบเกือบตลอดทั้งเล่ม และยังเลือกอ่านเฉพาะเรื่องที่สนใจก่อนก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องอ่านไล่ไปตามบทด้วย
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจองกุกถึงหยิบเล่มนี้มาอ่าน เพราะไม่ว่าจะศิลปินหรือคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ก็เจอปัญหาชีวิตรุมเร้ากันได้ทุกเมื่อแหละเนอะ ต่อให้ข้าง ๆ ไม่มีใคร แค่มีเล่มนี้ไว้กอดใจก็โอเคอยู่
หวังว่ารีวิวหนังสือ “I Decided to Live as Myself ฉันจะมีชีวิตในแบบของตัวเอง” นี้ จะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ นักอ่าน B2S Club ไม่มากก็น้อยนะ ใครที่กำลังเล็ง ๆ เล่มนี้ไว้เพราะอยาก #อ่านตามจองกุก ก็พุ่งตัวไปซื้อมาอ่านตามกันแบบด่วน ๆ ได้ที่ คลิก
เลือกช้อปสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติม คลิก :