โพสต์รูป-คลิปลูกรัก ต้องระวัง เสี่ยงทำลายความเป็นส่วนตัวของเด็ก

เมื่อโลกดิจิตอลเขยิบมาเข้ามาใกล้ตัว แทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตทุกย่างก้าว ตั้งแต่การเดินทาง จับจ่ายใช้สอย ความสนใจ หรือการค้นหาข้อมูลของเราก็ถูกจับตามองจากหลายแหล่งที่ต้องการเก็บข้อมูลของเรา เพราะข้อมูลมีค่ามหาศาล แลกกับการใช้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ความเป็นส่วนตัวน้อยลง ขณะเดียวกันนั้น พฤติกรรมของผู้คนในยุคนี้ก็มักจะชอบแชร์เรื่องราวการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้คนรอบตัวรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ไปเที่ยวที่ไหน แต่งตัวอย่างไร ทานอาหารน่ากิน นอนโรงแรมสุดหรู ทำให้มีเรื่องเล่าพูดคุยกับเพื่อนหรือติดตามชีวิตกันแบบไม่ห่างหาย แน่นอนว่าเราเป็นคนเลือกเองที่จะแชร์เรื่องราวให้เพื่อน ๆ หรือผู้ติดตามเรารู้ แต่ถ้าเป็น “ลูกน้อย” หรือ “เด็ก ๆ ที่ยังไม่สามารถตัดสินใจได้” ล่ะ พวกเขาเลือกที่จะแชร์เรื่องราวด้วยหรือเปล่า?

คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่า การถ่ายรูปน่ารัก ๆ ของลูกน้อยแล้วโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียจะเป็นเรื่องอันตราย และดูเหมือนว่าหลายบ้านสร้างแฟนเพจหรืออินสตาแกรมของลูกน้อย เพื่อเล่าเรื่องราวความน่ารักของลูกให้คนอื่นได้รับรู้และติดตาม แถมยังเป็นช่องทางสร้างรายได้จนทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Sharenting” ซึ่งมาจากคำว่า Share + Parenting หมายถึงพฤติกรรมของพ่อแม่ที่แชร์ภาพ คลิป หรือข้อมูลส่วนตัวของลูกมากเกินไปจนมองข้ามความปลอดภัยของลูกโดยไม่รู้ตัว 

อันตรายเมื่อเด็กสูญเสียความเป็นส่วนตัว

1. กระทบต่อความปลอดภัยของลูกทุกวัย เพราะการโพสต์ชื่อ นามสกุล ชื่อเล่น แชร์โลเคชั่น หรือการโพสต์รูปลูกน้อย เปิดโอกาสให้คนไม่หวังดีเข้าถึงตัวเด็กได้ง่าย สามารถแกะรอยข้อมูล สถานที่ และกิจกรรมที่ลูกทำได้ อาจกลายเป็นเหตุลักพาตัวหรือเรียกค่าไถ่
2. การโจรกรรมความเป็นส่วนตัว อาจมีมิจฉาชีพบางคนนำรูปภาพและข้อมูลของลูกไปใช้หาประโยชน์ หรือขอรับบริจาค
3. ลูกขาดความภาคภูมิในใจตัวเอง และความมั่นคงในจิตใจ แม้คุณพ่อคุณแม่จะโพสต์แต่เรื่องดี ๆ ของลูก เช่น สอบได้ที่ 1 หน้าตาน่ารัก ทำกิจกรรมต่าง ๆ เก่งจัง ทำให้ลูกรับรู้แต่คอมเมนต์เชิงบวก ได้รับคำชมตลอดเวลา ทำให้เด็กเสพติดการอ่านคอมเมนต์ดี ๆ กดเลิฟ ส่งผลให้พวกเขาต้องพยายามทำให้ตัวเองดูดีในโลกออนไลน์เท่านั้น จะมีความสุขเมื่อมีคนกดไลก์ และรู้สึกล้มเหลวเมื่อมีคนคอมเมนต์แย่ ๆ หรือเพียงแค่กดหน้าบึ้ง เด็กเสี่ยงต่อการเป็นเหยื่อต่อการคุกคามทางเพศและการล่อลวงต่าง ๆ ได้ง่าย 
4. อดีตทำร้ายปัจจุบันของลูก ภาพตอนที่ลูกยังเป็นทารก ภาพนู้ดแบบเด็ก ๆ หรือทำท่าทางแปลก ๆ ที่โพสต์ลงในโซเชียลมีเดียอาจกลายเป็นอดีตที่ทำร้ายจิตใจลูกเมื่อโตขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นร่องรอยทางดิจิตอล (digital footprint) ที่อยู่ตลอดไป และไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้ คุณพ่อคุณแม่จึงต้องระมัดระวังให้ดี

ทำอย่างไรจะปกป้องความเป็นส่วนตัวของลูกได้

1. คุณพ่อคุณแม่ต้องคัดสรรข้อมูลที่โพสต์ในโลกออนไลน์ ไม่ใช่ว่าการโพสต์รูปลูกจะทำไม่ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ เช่น ชื่อ-นามสกุล โรงเรียน ภาพชุดนักเรียน การปักหมุด การโพสต์กิจกรรมอย่างละเอียด หรือการโพสต์คลิปที่เลี่ยงต่อการคุมคามความเป็นส่วนตัว
2. สำหรับเด็กโตที่เริ่มมีแท็ปเล็ต โทรศัพท์มือถือของตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนให้เข้าใจถึงความสำคัญของข้อมูลส่วนตัว และมีกฎกติกาการใช้โซเชียลมีเดียที่เหมาะสมกับวัย ไม่เปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ให้คนแปลกหน้า หรือหากมีสิ่งผิดสังเกตควรมาปรึกษาทันที
3. เปิดโอกาสให้ลูกได้มีพื้นที่ส่วนตัว โดยเฉพาะกับเด็กโตอายุราว 10 ขวบขึ้นไปที่กำลังก้าวสู่วัยรุ่น พวกเขาเริ่มมีความคิดเห็นของตนเอง มีพื้นที่ของตนเอง มีความสนใจเป็นของตนเอง นอกเหนือจากการรับคำสั่งจากพ่อแม่ ที่สำคัญคือหากคุณพ่อคุณแม่อยากสอดส่องดูแล ไม่ควรใช้การบังคับ แต่ควรตั้งกฎกติตาร่วมกันตั้งแต่แรก ส่วนในพื้นที่ออนไลน์อาจใช้แอพลิเคชั่นมาเป็นตัวช่วยแทน
4. สอนให้ลูกรู้จักการเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นและปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง ทั้งในชีวิตประจำวันและในโลกออนไลน์ เพื่อเป็นพื้นฐานให้ลูกสามารถเติบโตบนโลกดิจิตอลที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วนี้ได้อย่างเหมาะสมและมีความสุข

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว พร้อมกับปูพื้นฐานให้กับลูกน้อยไปพร้อมกัน แต่ยังไม่ทราบว่าควรเริ่มจากตรงไหนดี ลองตามมาดูสิ่งที่แนะนำนี้ได้เลยค่ะ 

1.มูฟออนชีวิตถอนพิษพ่อแม่เผด็จการ คลิก 

ไม่อยากเป็นพ่อแม่รังแกลูกโดยไม่รู้ตัว และรู้ทันภัยที่พ่อแม่นำพามาสู่ลูกในยุคใหม่ต้องอ่านเล่มนี้ คู่มือที่จะฝึกตัวเองไม่ให้เป็นพ่อแม่เป็นพิษ สู่การพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ และไม่สร้างบาดแผลแห่งการเติบโต เพราะพ่อแม่คือผู้เพาะเมล็ดพันธุ์ทางใจและอารมณ์ในตัวลูก 

2.เข็นเด็กขึ้นภูเขา ตอน เมื่อลูกถูกแกล้ง คลิก 

การถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์เกิดขึ้นได้ง่ายมาก โดยเฉพาะเมื่อความเป็นส่วนตัวของลูกรั่วไหล หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้คุณพ่อแม่รู้วิธีรับมือเมื่อลูกเกิดปัญหา และแนะนำแนวทางที่ถูกต้องให้ลูกผ่านปัญหานี้ไปได้อีกด้วย  

3. เลี้ยงลูกให้ทันโลก คลิก 

หนังสือแนะนำวิธีเตรียมพร้อมลูกสำหรับโลกอนาคตในอีก 20-30 ปีข้างหน้า หรือเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ให้ลูกพร้อมรับมือกับโลกที่จะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งต้องปลูกฝังทัศนคติและทักษะใหม่ ๆ เพื่อให้ลูกพร้อมรับมือกับโลกออนไลน์ด้วย

4. FURRADEC ชุดโต๊ะเก้าอี้ WHITE BOARD คลิก 

พื้นที่เล็ก ๆ ที่สามารถสร้างความเป็นส่วนตัวให้ลูกวัยอนุบาล-ประถมต้นได้ เริ่มต้นจากโต๊ะนักเรียนของตัวเองที่เปิดโอกาสให้ลูกจัดแจง และดูแลรักษาของใช้ส่วนตัวด้วยตัวเอง โต๊ะทำจากไม้แท้ มีรูปทรงคล้ายกับโต๊ะเรียนสมัยคุณพ่อคุณแม่ยังเด็ก หน้าโต๊ะเป็นกระดานไวท์บอร์ดให้ลูก ๆ เขียนข้อความสนุก ๆ หรือวาดรูปสวย ๆ ด้วย  มีช่องเก็บของให้ลูกฝึกจัดระเบียบของด้วยตัวเอง

5. กล้องถ่ายรูปสำหรับเด็ก คลิก 

อุปกรณ์ง่าย ๆ ที่สอนให้ลูกรู้จักถึงความเป็นส่วนตัวผ่านการถ่ายรูป ด้วยการลองให้ลูกถ่ายรูปต่าง ๆ ตามใจชอบ แล้วนำรูปนั้นมาชวนคิด ชวนคุยว่ารูปแบบไหนสามารถโพสต์ได้อย่างปลอดภัยเรื่องความเป็นส่วนตัวได้บ้าง กล้องถ่ายรูปรุ่นนี้ออกแบบมาสำหรับเด็ก ๆ โดยเฉพาะ สามารถถ่ายรูปและวิดีโอได้ด้วยการกดปุ่มแบบง่าย ๆ ภาพที่ได้มีความคมชัด ไม่แพ้กล้องมือถือของผู้ใหญ่เลย

6. หูฟัง Razer Kraken BT Kitty Edition - Quartz คลิก 

หูฟังทรงหูน้องแมวสุดน่ารัก ไอเท็มสำหรับเด็ก ๆ ในยุคโควิด นอกจากจะใช้เรียนออนไลน์ คุณพ่อคุณแม่ยังใช้หูฟังสอนให้รู้จักความเป็นส่วนตัว และการรักษาสิทธิของผู้อื่น เมื่อไรที่ฟังเพลงหรือดูการ์ตูนในพื้นที่สาธารณะไม่ควรเปิดเสียงดัง หรือใส่หูฟังเพื่อป้องกันเสียงรบกวนผู้อื่น 

หากสนใจสินค้าสามารถหาซื้อได้ที่ B2S สาขาใกล้บ้านคุณ หรือจะสั่งซื้อออนไลน์ผ่านทาง www.b2s.co.th ก็ได้