ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ ทุกคนคงมีความกลัวเป็นของตัวเองต่างกันไปตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนเรื่องใหญ่ ความกลัวที่หนีได้อย่าง กลัวผี กลัวหนู กลัวงู กลัวเสือ แค่ไม่เอาตัวเองไปใกล้สิ่งกระตุ้นความกลัวก็จบเรื่องไป แต่ความกลัวที่หนีไม่ได้อย่างกลัวการเริ่มใหม่ กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวการถูกลืม หรือแม้แต่ความกลัวที่จะยืน-หยัดเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองรักท่ามกลางเสียงคัดค้านของสังคมหรือคนรอบตัว เป็นความกลัวที่หนีไม่ได้แต่ต้องรู้จักรับมือกับมันอย่างเข้มแข็งและมีสติ เพราะความกลัวเหล่านี้ มันจะไม่หายไปไหน หากเรายังไม่กล้าเผชิญหน้ากับมัน สุดท้ายความกลัวเหล่านั้นก็จะตามหลอกหลอนเราไปตลอดชีวิต
ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำหนังสือคู่มือเผชิญหน้ากับความกลัวในหัวใจ ไม่ว่าความกลัวนั้นมันจะอยู่กับเรามานานแค่ไหน แต่ขอรับรองเลยว่าแค่เพียงเพื่อน ๆ มีความตั้งใจที่จะเอาชนะมันและลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ สักวันความกลัวเหล่านั้นมันจะกลายเป็นอดีตและเลือนหายไปจากใจในที่สุด ในอนาคต เมื่อมองย้อนกลับมา เพื่อน ๆ จะพบว่าตัวเองเก่งขนาดไหนที่เอาชนะความกลัวที่เคยเกาะกุมจิตใจเหล่านั้นมาได้อย่างสง่างาม
ถ้าอยากรู้แล้วว่าคู่มือทั้ง 5 เล่มจะมีเล่มไหนบ้าง ไปอ่านรีวิวกันได้เลย
รวมวิธีการในเชิงจิตวิทยาที่จะช่วยให้เราข้ามผ่านความกลัวหลากหลายแบบในชีวิต นักเขียนเล่าว่า เธอได้รับมรดกความกลัวมาจากคุณแม่ของเธอเอง ส่งผลให้เธอมีความกลัวมากมายจนก่อเกิดเป็นบาดแผลทางใจที่สร้างอุปสรรคหลายอย่างในการใช้ชีวิต จนเมื่อตัดสินใจทำโปรเจกต์ปริญญาโทของตัวเองด้วยการเผชิญความกลัว 100 อย่างภายใน 100 วัน ทำให้เธอค้นพบว่าที่จริงแล้ว ความกลัวทั้งหมดทั้งมวลของมนุษย์แบ่งออกเป็น 7 หมวดใหญ่ ได้แก่ กลัวความเจ็บปวด กลัวอันตราย กลัวการถูกปฏิเสธ กลัวความอับอาย กลัวการไร้อำนาจควบคุม กลัวความโดดเดี่ยว และกลัวความน่าขยะแขยง
และเพราะชีวิตจริงในบางครั้ง เราไม่สามารถหลีกหนีความกลัวเหล่านั้นได้ คุณนักเขียนเลยทำการรวบรวม 8 วิธีรับมือกับความกลัวมาเพื่อช่วยให้นักอ่านสามารถก้าวผ่านทุก ๆ ความกลัวไปได้ ยกตัวอย่างข้อที่เราชอบ ได้แก่
1.กำหนดเส้นทางของตัวเอง เพื่อความมีวินัยในการใช้ชีวิต เปรียบเหมือนแผนที่เพื่อการเติบโต
2.ลงมือทำในสิ่งที่จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมาย ทุกอย่างจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าเราไม่ลงมือทำ
3.ให้อภัยกับทุกความคับข้องใจในอดีต เพื่อปลดปล่อยภาระทางใจ ช่วยให้ความคิดและชีวิตเราปลอดโปร่งขึ้น
4.การไม่ลืมเป้าหมาย จำไว้เสมอว่าเราตั้งใจทำสิ่งนี้เพราะอะไร
จากที่ยกตัวอย่างมา เพื่อน ๆ จะเห็นว่าวิธีรับมือกับความกลัวที่หนังสือเล่มนี้แนะนำ มีความเป็นรูปธรรมและสามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตได้จริง หนังสือเล่มนี้อาจจะไม่ได้ทำให้เพื่อน ๆ เปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่มั่นใจไม่กลัวอะไรทันทีที่อ่านจบ แต่เราว่าวิธีการและคำแนะนำทั้งหมดในเล่ม จะเปลี่ยนวิธีคิดให้เราไม่เป็นคนกลัวอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไป ทำให้สามารถค่อย ๆ สะสมความกล้าในใจให้เพิ่มขึ้นได้นั่นเองค่ะ
หนึ่งในความกลัวในใจใครหลาย ๆ คน คือการกลัวความเปลี่ยนแปลง เพราะอะไรใหม่ ๆ ที่เราไม่คุ้นเคยมักจะทำให้เรากังวลมากกว่าปกติเสมอ ขอให้เข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะสมองและร่างกายของเราไม่ชอบมันต่างหาก หนังสือเล่มนี้เขียนโดยนักอ่านใจชาวญี่ปุ่น คุณไดโกะ ที่จะมาช่วยให้นักอ่านอย่างเรา ๆ เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ นิสัยใหม่ โดยเน้นให้เรารู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับสิ่งเหล่านั้นด้วยวิธีจากเล่มนี้ที่เราชอบมากและขอยกมาเล่าคือ ‘การไม่ใช้สมอง’ อาจดูแปลกนิดหน่อย แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนที่คิดมากเกินไปมักจะไม่ได้ลงมือทำ เพราะบางครั้งความคิดมันก็ไม่เป็นมิตรกับเราเห็นด้วยมั้ยคะ เพราะฉะนั้นการที่เมื่อเราอยากจะลงมือทำอะไรสักอย่างขึ้นมา หนังสือเล่มนี้บอกว่า อย่าใช้สมองคิดนานจนเกินไปแต่ให้ลงมือทำทันที
ขั้นตอนที่เหลือมันจะตามเรามาเอง ขอเพียงแค่เราเริ่มต้น แม้ต้องพบกับการล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่สุดท้ายเราจะหาทางผ่านมันไปได้
อีกส่วนที่น่าสนใจของหนังสือคือ สวิตช์ทั้ง 7 ที่เปลี่ยนเราให้เป็นคนใหม่ ได้แก่
1.เวลา: เมื่อเปลี่ยนการใช้เวลาเท่ากับว่าเรากำลังเปลี่ยนชีวิต
2.คำพูด: สะท้อนชีวิตของเราเสมอ ไตร่ตรองกับมันให้มาก ยิ่งพูดสิ่งลบ ๆ สมองก็จะโฟกัสแต่เรื่องลบ
3.เพื่อน: การเลือกคบเพื่อนส่งผลต่อการใช้ชีวิตมากกว่าที่คิด
4.สิ่งของ: การมีสิ่งของมากมายเกินจำเป็นจะทำให้สมองเหนื่อยล้าได้ง่ายและเครียดโดยไม่รู้ตัว
5.สิ่งแวดล้อม: สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเราสำคัญต่อการเติบโตและเปลี่ยนแปลง
6.รูปลักษณ์ภายนอก: การแต่งตัว บุคลิก อารมณ์ล้วนมีผลต่อชีวิตเราทั้งสิ้น
7.อาหาร: อาหารที่เรากินบ่งบอกถึงความรักที่เรามีต่อตัวเอง
จากที่เล่ามาทั้งหมด เพื่อน ๆ จะสังเกตได้ว่าการเปลี่ยนแปลงล้วนเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่าพฤติกรรม เมื่อเราตั้งใจจะเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้ จิตใจก็จะเปลี่ยนไป และเมื่อจิตใจเปลี่ยนชีวิตเราก็จะเปลี่ยน ขอเพียงลงมือทำอย่างตั้งใจก็ไม่มีอะไรเกินเอื้อมแน่นอนค่า
เพื่อน ๆ รู้มั้ยคะ ว่าเราทุกคนมีลิงอยู่ในสมอง เจนนิเฟอร์ แชนนอน นักจิตบำบัดเฉพาะทางด้านการรักษาโรควิตกกังวล ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ อุปมาพฤติกรรมความวิตกกังวล ความกลัว และความอดทนต่อความไม่แน่นอนไม่ได้ว่า มันคือการเลี้ยงลิงในสมอง ยิ่งเราตอบสนองต่อพฤติกรรมเหล่านั้นมากเท่าไหร่ ก็เท่ากับว่าเรากำลังป้อนอาหารให้ลิงตัวนั้นอยู่นั่นเอง ยกตัวอย่างความวิตกกังวลที่พบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น การคอยเช็กว่าคนรักของเราปลอดภัยดีหรือไม่เมื่อออกไปข้างนอก ยิ่งเราตอบสนองพฤติกรรมนี้ด้วยการใช้แอปพลิเคชันติดตาม โทรถามพิกัดของคนรักถี่เกินไป ก็เท่ากับว่าเป็นการโยนกล้วยให้กับลิงและทำให้มันยิ่งได้ใจ สมองก็จะยิ่งวิตกกังวลหนักเข้าไปใหญ่เมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์เดิมอีกครั้ง
แล้วจะทำยังไงไม่ให้เราเผลอป้อนอาหารให้กับเจ้าลิงจอมป่วนกันนะ คุณนักเขียนแนะนำ ‘กลยุทธ์วิธีคิดแบบเปิดกว้าง’ วิธีนี้ไม่ใช่เพื่อการหยุดความวิตกกังวลแต่เพื่อก้าวข้ามความวิตกกังวลให้เราสามารถปล่อยวางและยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิตได้ โดยในเล่มได้อธิบายไว้ว่า ต้องอาศัยทั้งความคิดสร้างสรรค์ ความกล้าเสี่ยง และการผจญภัย ทั้งยังต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับและเห็นอกเห็นใจ ทั้งสองข้อนี้มีความจำเป็นต้องใช้เมื่อเราเกิดการทำพลาดแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สำคัญคือความยืดหยุ่น และความสามารถในการฟื้นตัวจากปัญหาเพื่อเยียวยาตัวเองจากความผิดพลาดค่ะ
อย่าลืมว่าเมื่อไหร่ที่เราเลิกให้อาหารลิงเราก็จะควบคุมพฤติกรรมของมันได้ ความกังวลก็จะลดลงไปด้วย เราจะรู้สึกเบาสบายขนาดไหน ถ้ากำจัดความกลัวและความวิตกกังวลภายในใจได้อยู่หมัด
หนังสือชื่อเก๋เหมาะสำหรับคนที่รู้สึกว่าในบางครั้งคนรอบตัวที่สำคัญกับเราอย่างครอบครัว ก็สุดแสนจะรับมือและเข้าใจยากเหลือเกิน ไม่แค่นั้นเผลอ ๆ ทั้งหัวหน้า แฟน เพื่อน หรือแม้แต่ลูก ๆ ในบางเวลาก็เป็นเหมือนเม่นที่เราไม่อยากเข้าใกล้ เพราะเมื่อไหร่ที่โดนจู่โจม เม่นจะตั้งการ์ดปกป้องตัวเองด้วยหนามแหลมคมของมัน เราเองก็ไม่ต่างกัน เมื่อเจอกับพฤติกรรมไม่ถูกใจก็อาจจะเผลอตั้งการ์ดเอาไว้เพื่อปกป้องตัวเอง อาจจะเป็นในรูปแบบของการเสียดสี วิจารณ์ หรือเงียบใส่ซะเฉย ๆ ในหนังสือเล่มนี้ มีวิธีรับมือกับมนุษย์เม่นทั้งภายนอกและภายในตัวเราเอง ให้สามารถเข้าใจและใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
ส่วนใหญ่คำแนะนำในเล่มจะมีความเรียบง่าย แต่ล้วนเป็นสิ่งที่เราลืมไปเมื่อถึงเวลาที่อารมณ์โกรธมันกำลังครอบงำ อย่างเช่น การเคารพขอบเขตของอีกฝ่าย การหามุกตลกมาเปลี่ยนอารมณ์บทสนทนา ละทิ้งความกระหายที่จะเป็นฝ่ายถูก แยกแยะระหว่างพฤติกรรมของเขากับตัวเขา เราอาจจะผิดหวังกับการกระทำ แต่อย่าลืมว่าเรายังคงรักในตัวผู้กระทำนั้น จำให้ขึ้นใจว่าเราคือทีมเดียวกัน
สุดท้ายคือส่วนที่เราประทับใจที่สุด หนังสือบอกว่าตัวเราเองคือมนุษย์เม่นที่อยู่ใกล้และเราต้องรับมือด้วยบ่อยที่สุด ดังนั้นจึงควรสังเกตพฤติกรรมและกลไกการรับมือเมื่อเราถูกจี้จุดเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น สรุปคือเล่มนี้เป็นหนังสือจิตวิทยาความสัมพันธ์ที่เล่าถึงวิธีการรับมืออย่างถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนแปลงอีกฝ่าย แต่เพื่อทำความเข้าใจกันและกัน ให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
แค่ชื่อหนังสือ เพื่อน ๆ น่าจะพอเดาถูกกันแล้วใช่มั้ยคะว่าเล่มนี้จะพูดถึงความกลัวเกี่ยวกับอะไร ตั้งแต่เด็กจนโต หลาย ๆ คนน่าจะถูกผู้ใหญ่ที่ไม่น่ารักสร้างบาดแผลทางใจให้กันคนละแผลสองแผล จนทำให้ตั้งใจไว้เลยว่าเราจะไม่โตไปเป็นผู้ใหญ่ที่คอยเอาแต่ทำร้ายความรู้สึกใครแบบนี้แน่นอน
หนังสือเล่มนี้ อัดแน่นไปด้วย 43 คำแนะนำสำหรับคนที่อยากโตไปแบบมีคุณภาพ ผลงานของ Steven Petrow นักข่าวชื่อดัง ที่ได้ลงมือทำรายการ ‘สิ่งที่ฉันจะไม่มีวันทำเมื่อฉันแก่’ จากพฤติกรรมของพ่อแม่ที่เขาไม่อยากเดินตามรอย จนเป็นต้นกำเนิดของหนังสือชื่อดังเต็มไปด้วยอารมณ์ขันเล่มนี้ ส่วนตัวเราชอบที่ถึงเนื้อหามันจะฮามาก แต่จริง ๆ แล้วมันเต็มไปด้วยสาระที่เอาไว้เตือนใจไม่ให้ทำพฤติกรรมไม่น่ารักแบบมนุษย์ป้ามนุษย์ลุงที่เราเคยไม่ชอบใจในตอนที่เราเป็นเด็ก ไม่ว่าจะเป็น ใช้คำว่า “เกิดก่อน” เป็นข้ออ้างให้ตัวเองทำอะไรก็ได้ หรือไม่พูดขอโทษให้เสียศักดิ์ศรี กระทั่งการทำตัวเป็นศูนย์กลางจักรวาล อะไรเทือกนี้มันเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านวันเวลาและประสบการณ์ชีวิตมามากกว่าไม่น่าเอามาให้วัยรุ่นรู้สึกว่าคนแบบนี้ไม่น่าเคารพเอาซะเลย
นอกจากนั้นในเล่มยังมีคำแนะนำอื่น ๆ อย่างเช่น การกล้าที่จะขอความช่วยเหลือ หรือการวางแผนบั้นปลายชีวิตไว้ล่วงหน้า และข้อสุดท้ายนี้เราชอบมากคือ ถึงร่างกายจะแก่แต่ใจห้ามเฉา มาให้อ่านเตรียมตัวเตรียมใจไว้เมื่อถึงคราวที่เราอยุมากขึ้นด้วย เป็นหนังสือที่น่าสนใจและอ่านสนุกมากอีกเล่มที่อยากแนะนำ ใครไม่อยากโตไปเป็นผู้ใหญ่แบบที่ตัวเองไม่ชอบ พลาดเล่มนี้ไม่ได้เลยค่ะ
ก่อนจบไปบทความไป ขอทิ้งท้ายไว้เตือนใจทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ว่าความกลัวไม่ใช่เรื่องแปลกหรือแปลว่าเราเป็นคนขี้ขลาด กลับกันมันคือส่วนหนึ่งของสัตว์โลกรวมถึงมนุษย์ และเราเชื่อว่าบนโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่กลัวอะไรเลยสักอย่างอยู่จริง ๆ ทุกคนบนโลกล้วนมีความกลัวในใจที่ต้องรับมือและเอาชนะมันไปให้ได้ในทุก ๆ วัน แค่เราสังเกตมันอย่างเข้าใจ พยายามพาตัวเองข้ามผ่านมันไปด้วยใจที่เข้มแข็งและสติที่มั่นคง ก็จะไม่มีความกลัวไหนมาเกาะกุมหัวใจเราได้เลย
แล้วเจอกันใหม่บทความหน้า ขอให้อ่านหนังสืออย่างสนุกและมีความสุขในทุกการพลิกหน้ากระดาษนะคะ
ฝ่ายบริการสมาชิก The 1 หรือ The1 Call Center
ที่หมายเลข 02-660-1000 ได้ทุกวัน ตั้งแต่ 9.00 น. จนถึง 22.00 น. เพื่อแจ้งความประสงค์ขอยกเลิกการรับข้อมูลข่าวสาร
จะมีผลให้ส่วนลด พลังสะสมหรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจะถูกยกเลิกในทันที และหากท่านกลับมาสมัครใหม่ในภายหลังจะถือเป็นสมาชิกใหม่
ของท่านจะถูกยกเลิกทันที หลังจากท่านกดยืนยัน