ทุกคนเคยสงสัยกันมั้ย..ว่าผีที่เขาว่าน่ากลัว มีตัวตนอยู่จริงๆ เหรอ ? การปรากฏตัวของผีหลากหลายรูปแบบและอาการกลัวผีเหล่านี้ เป็นเพียงเรื่องลี้ลับที่ไม่อาจพิสูจน์ได้หรือเปล่า ?
เพื่อต้อนรับบรรยากาศสุดหลอนในเทศกาลฮาโลวีน วันนี้ B2S CLUB จะพาทุกคนไปหาคำตอบโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์เน้นๆ มาพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่เรากลัวไปเองนี้ จริงๆ ก็มีคำอธิบายอยู่นะ!
‘ผีอำ’ หนึ่งในประสบการณ์สุดหลอนที่หลายๆ คนเคยเผชิญหรือได้ยินได้ฟังผ่านเรื่องเล่าสุดสยองกันมาบ่อยครั้ง คือภาวะที่เราขยับร่างกายขณะที่อยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่น บ้างก็ว่าเป็นเพราะมีสิ่งที่มองไม่เห็นหรือเงาดำๆ มาทับร่างไว้ บ้างก็มาในรูปแบบที่ได้ยินเสียงของบางสิ่งร่วมด้วย โดยเฉพาะคนไทยอย่างเรา ที่ถึงขั้นมีข้อห้ามที่ว่าห้ามนอนตอนช่วงผีตากผ้าอ้อมหรือช่วงโพล้เพล้เด็ดขาด เพราะเชื่อว่าโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณมีเวลาแตกต่างกัน ช่วงเวลามืดของโลกนี้ เป็นช่วงเวลาสว่างของโลกนั้น และช่วงเวลาโพล้เพล้นี่เอง ถือเป็นช่วงเวลาที่โลกวิญญาณใกล้สว่างเลยทำให้เกิดอาการผีอำได้ง่าย
อ๊ะๆ แต่อย่าเพิ่งกลัวกันไป เพราะในทางวิทยาศาสตร์ เขาให้คำอธิบายที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับภาวะนี้ไว้อย่างชัดเจนสุดๆ ว่าไม่เกี่ยวกับผีหรือวิญญาณเลยสักนิด แต่เป็นเพียงอาการความผิดปกติขณะนอนหลับอย่าง ภาวะอัมพาตขณะหลับ (Sleep paralysis) ที่มักจะเกิดขึ้นในวงจรการนอนหลับแบบ REM Sleep คือแม้ร่างกายเราจะหลับ แต่สมองกำลังทำงานใกล้เคียงกับช่วงที่ตื่นอยู่ และลูกตาก็มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดขณะที่เปลือกตาปิดด้วย การทำงานที่ขัดแย้งกันนี้เอง ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนใช้ชีวิตในความฝันแต่ไม่สามารถขยับตัวได้ ซึ่งก็เหมือนกับอาการผีอำเป๊ะเลยยังไงล่ะ ดังนั้นก่อนจะคิดว่ามีกุ๊กกู๋มาหลอก ทางที่ดี เพื่อนๆ ต้องกลับมาใส่ใจเรื่องคุณภาพการนอนได้แล้วนะ! ลดความเครียดที่เป็นสาเหตุหลักของภาวะนี้ดูก็น่าจะเวิร์กด้วย!
แม้ตัวตนของผีจะคลุมเครือและจับต้องไม่ได้ แต่บางครั้ง เทคโนโลยีล้ำสมัยก็สามารถตรวจจับหรือแม้กระทั่งบันทึกภาพของผีออกมาให้เห็นกันจะจะ จากที่เห็นได้บ่อยๆ ผ่านการถ่ายภาพติดวิญญาณหรือในวิดีโอที่จะพบเห็นกลุ่มเงาหรือควันคล้ายใบหน้าคนลอยอยู่ในอากาศ ซ่อนอยู่ตามมุมมืด หรือโผล่มาตรงนู้นตรงนี้ ซึ่งกระตุ้นต่อมความหลอนของคนที่เชื่อเรื่องลี้ลับให้ทวีคูณความกลัวยิ่งขึ้นไปอีก เพราะดูมีหลักฐานเป็นรูปธรรมว่ามีผีอยู่จริงๆ! แต่ว่าในทางวิทยาศาสตร์เองก็มีคำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งนี้ไว้ด้วยนะ ซึ่งเรียกว่า ปรากฏการณ์แพริโดเลีย (Pareidolia) ที่เกิดจากการที่สมองของเราพยายามทำความเข้าใจสิ่งรอบตัว โดยนำข้อมูลที่รับมาจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 มาจับคู่กับสิ่งที่เข้าใจอยู่แล้ว ทำให้เราเห็นก้อนเมฆบนฟ้าหรือสิ่งของไร้ชีวิตเหมือนมีใบหน้ายิ้มแย้ม หรือแม้กระทั่งความสามารถในการระบุใบหน้าของคนได้อย่างรางๆ ซึ่งการเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘วิญญาณ’ ตามรูปถ่ายต่างๆ ก็อาจจะเกิดจากการที่สมองพยายามโน้มน้าวเราให้จินตนาการว่าสิ่งนั้นเป็นใบหน้าของคน ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารู้จักดีอยู่แล้วขึ้นมาก็ได้นั่นเอง
ตัวอย่างภาพของปรากฏการณ์แพริโดเลีย ขอบคุณรูปภาพจาก https://debuglies.com
เสียงที่ไม่ทราบที่มา สิ่งของที่หล่นลงมาจากชั้น หน้าต่างหรือประตูที่ปิดเองแม้ไม่มีลมเล็ดลอด เชื่อว่าทุกคนคงเคยเห็นฉากเหล่านี้ในหนังผีแทบจะทุกเรื่อง หรืออาจได้ยินมาจากการเล่าประสบการณ์สุดหลอนของคนใกล้ตัวก็ตาม หากเราเชื่อเรื่องผี เราก็จะนึกไปโดยอัตโนมัติว่าผีเป็นผู้กระทำ ผีต้องจงใจทิ้งร่องรอยไว้ให้เรารู้ เพื่อต้องการจะสื่ออะไรบางอย่างแน่ๆ! จนนำไปสู่ความเชื่อที่ว่าผีนั้นมีตัวตนอยู่จริงๆ แต่ในทางวิทยาศาสตร์ก็มีคำอธิบายมาแย้งการเกิดขึ้นของร่องรอยเหล่านี้ไว้ นั่นก็คือ อาการตาบอดเพราะไม่ใส่ใจ (Inattentional blindness) ซึ่งเกิดจากการที่เราจดจ่อกับสิ่งหนึ่งมากเกินไป จนละเลยหรือไม่ได้ใส่ใจในสิ่งอื่นเลย เพราะสมองของเราจะสนใจจดจ่อกับสิ่งที่เราให้ความสำคัญอยู่ในช่วงเวลานั้นเท่านั้น เช่น ตอนที่เรากำลังตั้งใจทำงานอย่างมากจนไม่สนใจรอบข้าง เราก็อาจมองไม่เห็นว่ามีคนมาปิดประตูหรือมีลมพัดประตูจนปิดไว้ จนนึกไปว่าประตูปิดเองก็ได้ เพราะสมองคนเรามักมีปัญหากับการให้ความสนใจในหลายสิ่งพร้อมๆ กัน ขณะที่จดจ่อกับบางสิ่งแบบสุดๆ เราจึงมักจะพลาดสัญญาณบางด้านจากสิ่งรอบตัว จนทึกทักไปเองว่านี่เป็นการกระทำของผียังไงล่ะ ดังนั้น ถ้าไม่เห็นว่าผีมาปิดประตูเองกับตา ก็อย่าเพิ่งเชื่อว่าเป็นฝีมือของเค้าเลยน้า~
การพิสูจน์ว่าผีนั้นมีตัวตนอยู่จริง คงหนีไม่พ้นวิธีการอย่างไปล่าท้าผีที่บ้านร้างหรือบ้านผีสิงที่ขึ้นชื่อเรื่องความเฮี้ยน และคนที่ไปลองดีต่างก็บอกว่าเจอเรื่องราวลี้ลับมากมายในสถานที่เหล่านั้น ทั้งได้ยินเสียงคนเดินรอบๆ ห้องบ้างล่ะ เห็นเงาของคนตะคุ่มๆ บ้างล่ะ หรือบางคนก็รู้สึกกลัวจนแสดงอาการทางร่างกายออกมาว่าเหนื่อยล้าหรือแพนิกก็มี ซึ่งสิ่งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้ อาจเกิดมาจากการที่สมองขาดออกซิเจน จนทำให้ประสาทสัมผัสและการรับรู้บิดเบี้ยวผิดจากความเป็นจริงออกไปได้ เกิดเป็นภาพหลอนหรืออาการหูแว่วเลยทำให้คนเชื่อว่าได้เจอกับผีขึ้นมาจริงๆ และสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการขาดออกซิเจนของสมองได้นั่นก็คือ เชื้อราและสารพิษต่างๆ ซึ่งในโครงสร้างของอาคารเก่าๆ ที่ถูกทิ้งร้างเป็นเวลานานอย่างบ้านร้างหรือบ้านผีสิงนั้น มีแหล่งของเชื้อราสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก หากสูดดมเข้าไปก็จะเป็นอันตรายต่อการทำงานของสมองโดยตรง ทั้งทำให้เกิดอาการวิงเวียน หายใจติดขัด และเมื่อร่างกายทำงานได้ไม่เต็มร้อย เลยอาจเห็นภาพหลอนหรือหูแว่วจนคิดไปเองว่าเป็นผีก็เป็นได้
หนึ่งในอาการที่คนเคยเจอผีมักจะสัมผัสได้นั่นก็คือ อาการขนลุกขนพองอย่างไม่ทราบสาเหตุจากการเดินผ่านหรือเข้าไปยังสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง หรือบางครั้ง จู่ๆ ก็จะรู้สึกหนาวจนเย็นวาบไปทั้งร่างกาย ชวนให้รู้สึกหวาดกลัว จนถึงกับใช้เป็นสัญญาณบอกกันว่า หากเจอเข้ากับผีแบบจังๆ เราจะมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น แต่ในทางวิทยาศาสตร์ก็มีคำอธิบายไว้เหมือนกันนะว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic fields) การที่จู่ๆ ก็เกิดจุดอากาศเย็นผิดปกติ หรือการสัมผัสได้ถึงพลังงานเคลื่อนไหวประหลาดในบางสถานที่ ก็เพราะมีสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชั่วคราวเกิดขึ้นนั่นเอง และแหล่งที่มาของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็ล้วนอยู่รอบๆ ตัวเราจนแทบจะเกิดได้ทุกเวลา ตั้งแต่พายุฝนฟ้าคะนองไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ และจากงานวิจัยพบว่าหากมนุษย์สัมผัสกับคลื่นเสียงความถี่ต่ำ (Infrasound) ที่ความถี่ 17 เฮิรตซ์ ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ หนาวสั่น หรือหวาดกลัวขึ้นได้เช่นกัน และยังส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วจนสามารถบิดเบือนทำให้เห็นภาพเลือนราง รวมถึงหูแว่วได้อีกด้วย ดังนั้น การที่เราจู่ๆ ก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาหรือได้ยินเสียงปริศนาก็อาจจะไม่ได้เป็นเพราะผีเสมอไปนะ
เชื่อว่าตั้งแต่เล็กจนโต คนที่กลัวผียังไงก็ยังคงกลัวอยู่อย่างนั้น แล้วยิ่งคนที่กลัวมากๆ เขาก็ว่ากันว่าผีจะยิ่งชอบมาแกล้งหลอกเลยเห็นผีบ่อย ทำให้กลัวขึ้นสมองมากขึ้นไปอีก ความกลัวที่มากเกินไปนี้ ทางหลักวิทยาศาสตร์ก็มีชื่อเรียกอยู่นะ โดยจัดเป็น ภาวะกลัวผีและสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างรุนแรง (Phasmophobia) ซึ่งจะก่อให้เกิดความวิตกกังวลขั้นรุนแรงจนนำไปสู่อาการแพนิกได้ เพียงแค่เอ่ยถึงผีหรือสิ่งลี้ลับขึ้นมาก็จะไปกระตุ้นให้เกิดอาการทันที จึงเป็นไปได้ที่เมื่อเกิดความกลัวจนไม่อาจควบคุมได้ก็จะส่งผลให้สมองสร้างภาพหลอนขึ้นมา หรืออาจเห็นภาพอะไรแวบไปแวบมา จนคิดไปว่ายิ่งกลัวผีก็จะยิ่งมาหลอกเรายังไงล่ะ
และนี่ก็คือหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่จะมาช่วยอธิบายถึงการมีตัวตนของผีที่เราอาจเคยคิดว่าเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติที่ยากจะพิสูจน์ จนเกิดความกลัวไปต่างๆ นานา ไม่ว่าผีจะมีจริงหรือไม่ สิ่งสำคัญคือการเชื่ออย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งวิทยาศาสตร์ก็มาช่วยเพิ่มหลักฐานที่จะสร้างวิจารณญาณให้กับเรามากขึ้น จะได้ไม่กังวลจนเกินไปนั่นเอง และในเทศกาลฮาโลวีนนี้ B2S CLUB ก็ขอให้ทุกคนฉลองกันอย่างแฮปปี้ เป็นไปได้ก็อย่าเจอผีเลยน้า~
ฝ่ายบริการสมาชิก The 1 หรือ The1 Call Center
ที่หมายเลข 02-660-1000 ได้ทุกวัน ตั้งแต่ 9.00 น. จนถึง 22.00 น. เพื่อแจ้งความประสงค์ขอยกเลิกการรับข้อมูลข่าวสาร
จะมีผลให้ส่วนลด พลังสะสมหรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจะถูกยกเลิกในทันที และหากท่านกลับมาสมัครใหม่ในภายหลังจะถือเป็นสมาชิกใหม่
ของท่านจะถูกยกเลิกทันที หลังจากท่านกดยืนยัน