ถ้าเพื่อน ๆ กำลังรู้สึกว่าแพ้เสียงในหัวตัวเองอยู่ เสียงที่บอกว่าเราไม่ดีพอ ไม่เก่งพอ ไม่มีความกล้ามากพอ และกำลังนั่งรอให้โอกาสดี ๆ รวมถึงความสุขเข้ามาในชีวิตโดยที่ไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย นี่อาจจะถึงเวลาที่ต้องกำจัดเสียงนั้นออกไปให้ไกลหัวใจของเพื่อน ๆ แล้วนะคะ
บทความนี้เราจะมาป้ายยาหนังสือที่จะทำให้เพื่อน ๆ เอาชนะเสียงความกลัวในหัว สลัดทิ้งความรู้สึกขุ่นมัวและลุกออกไปใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ ให้แฮปปี้สุดหัวใจกัน เพื่อไม่ให้เมื่อเวลาผ่านไปแล้วจะต้องมานั่งเสียใจทีหลังว่าน่าจะกล้าใช้ชีวิตของตัวเองให้คุ้มค่ามากกว่านี้ ถ้าอยากรู้แล้วว่าจะมีเล่มไหนน่าสนใจบ้าง ไปอ่านรีวิวกันได้เลย
หนังสือชื่อเตะตาความหมายสะกิดใจเล่มนี้ มีหลักใหญ่ใจความสำคัญเกี่ยวกับภูมิหลังและเรื่องราวชีวิตอันยาวนานที่ไม่ได้มีแค่ความสำเร็จของเหล่าคนดังซึ่งทั้งประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จัก เช่น มหาตะ คานธี วีรบุรุษชื่อดังของประเทศอินเดีย หรือผู้พันแซนเดอส์หนุ่มใหญ่หน้าตาใจดีเจ้าของร้าน KFC ที่มีสาขาทั่วโลกรวมกันหลายหมื่นสาขา แม้กระทั่งศาสดาของหลากหลายศาสนาที่ผู้คนนับถือศรัทธา พวกเขาเหล่านี้ล้วนไม่ได้เกิดมาประสบความสำเร็จตั้งแต่ลืมตาดูโลกแต่ล้วนเต็มไปด้วยการล้มลุกคลุกคลาน ความไม่สมบูรณ์แบบ ความผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วนที่ไม่ถูกพูดถึงและเผยแพร่ แต่หนังสือเล่มนี้จะหยิบยกมาให้เราได้ดูเป็นตัวอย่าง ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่เพื่อการซ้ำเติมหรือมีเจตนาสร้างความเสียหาย กลับกันเพื่อชี้ให้เห็นว่า ในช่วงชีวิตของทุกคน แม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกเองก็มีช่วงเวลาที่ไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป
หนังสือบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ชีวิตของบุคคลดังกล่าว พร้อมกับให้ข้อคิดเพื่อนำมาปรับใช้กับชีวิตจริงของผู้อ่าน ในยุคที่ใคร ๆ ก็ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จกันไปหมด บางครั้งเราอาจจะเผลอเอาความสำเร็จที่เห็นผ่านโลกออนไลน์เหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับตัวเองจนรู้สึกไร้ค่าและไม่กล้าที่จะผิดพลาด หนังสือพยายามสื่อว่าการที่เราศึกษาประวัติศาสตร์มันไม่ได้ให้เพียงแค่ความรู้ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความจริงและสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ที่ไม่มีชีวิตของใครเพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบ 100% เมื่อรู้อย่างนั้นแล้วก็อย่ากดดันตัวเองมากจนเกินไปและอย่ากลัวจะไม่ประสบความสำเร็จจนไม่กล้าลงมือทำอะไรเลย เพราะความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนล้วนเป็นส่วนประกอบของการประสบความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตเราได้ ไม่ต่างกับเรื่องราวของเหล่าคนดังที่รอให้เราได้อ่านในเล่มนี้เลยค่ะ
หากเพื่อน ๆ คุ้นชื่อหรือเคยอ่านหนังสือขายดีเล่มดังอย่าง “ช่างมันเถอะ! อีกไม่กี่ปีเราก็เป็นเถ้าธุลีกันหมดแล้ว” หนังสือเล่มนี้คือผลงานใหม่ของฟุจิโนะ โทโมยะ จิตแพทย์ชาวญี่ปุ่น ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้นั่นเองค่ะ
ในเล่มอัดแน่นไปด้วย 45 เคล็ดลับการใช้ชีวิตให้สบายใจในแบบที่เราต้องการ หากใครกำลังรู้สึกเหนื่อยและไม่เป็นตัวของตัวเองเพราะคอยแคร์สายตาคนอื่นมากเกินไป โดยที่ลึก ๆ ในใจไม่ได้อยากทำแบบนั้น หนังสือเล่มนี้ช่วยเป็นไกด์พาเราออกจากวังวนเหล่านั้นได้แน่นอน
แก่นหลักของหนังสือเล่มนี้คือการพาใจให้กลับมาเป็นของเรา ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง ฟังเสียงหัวใจของตัวเองให้มากขึ้น เพราะคนส่วนมากมักจะใช้ทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อคนอื่นมากเกินไปจนเกินรับไหว หรืออาจเผลอละเลยใจตัวเอง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เหนื่อยล้าเกินจะเยียวยาแล้ว และเพราะเราทุกคนไม่สามารถเยียวยาความเหนื่อยที่สะสมมาตลอดเหล่านั้นให้หายไปได้ในชั่วข้ามคืน การดูแลความรู้สึกและรักตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำเป็นประจำนั่นเอง ถ้าเพื่อน ๆ กำลังมองหาฮาวทูดูแลหัวใจ ลองอ่านหนังสือใหม่ที่ให้ความรู้สึกเป็นมิตรเล่มนี้ดูนะคะ
ดึง แปะ และจะดึงแปะใหม่อีกเท่าไหร่ก็ได้!! นี่คือปรัชญาการใช้ชีวิตแบบโพสต์อิตที่จะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น หลักใหญ่ใจความของหนังสือเล่มนี้คือการชี้ให้เห็นว่าในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย การแข่งขัน และสารพันปัญหาเข้ามาให้แก้ในแต่ละวัน หากเราไม่อยากเหนื่อยกับสิ่งเหล่านั้นมากเกินไปก็ลองปรับวิถีการใช้ชีวิตให้ยืดหยุ่นและสบาย ๆ กว่าเดิมขึ้นอีกสักหน่อย ไม่ต้องพยายามมากไปจนรู้สึกเกินกำลังและหนักอึ้ง อาจจะเป็นหนทางสู่ความสุขที่เรากำลังตามหามาตลอดก็ได้ เหมือนกับโพสต์อิต ที่ลอกง่าย แปะติดใหม่ตรงไหนก็ง่าย แม้ว่ามันจะเคยล้มเหลวที่ไม่สามารถยึดติดบนพื้นผิวได้อย่างเหนียวหนึบ แต่ด้วยลักษณะเฉพาะตัวนี้ทำให้มันกลายเป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้ชีวิตผู้คนสะดวกขึ้นกว่าเดิม
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือฮีลใจที่เป็นลักษณะของความเรียงสละสลวย หรือถ้อยคำปลอบใจเรียงร้อยกันเป็นประโยคสั้น ๆ แต่กลับเป็นเหมือนไดอารีถ่ายทอดทั้งความรู้สึก ชวนท่องไปในช่วงเวลาต่างๆ ผ่านประสบการณ์ มากมาย แฝงไปด้วยข้อคิดการใช้ชีวิตจากผู้เขียนที่ได้ส่งต่อพลังและความหวังดีมาถึงคนอ่านอย่างน่าประทับใจมาก เป็นหนังสืออีกเล่มที่อ่านสนุกถูกใจเราเป็นพิเศษจนต้องหยิบมาป้ายยา
ถ้าการช่วยคนอื่นทำให้รู้สึกเหมือนกำลังฝืนใจทำสิ่งที่ไม่ใช่ นั่นอาจจะไม่ใช่การทำความดี แต่คือการทำร้ายตัวเองทางอ้อม หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่จะบอกให้เราเลิกเอาชีวิตไปยึดโยงกับความพึงพอใจของคนอื่นและหันกลับมาให้ความสำคัญกับความรู้สึกของตัวเอง ผลงานการเขียนและลายเส้นสุดน่ารักของคุณคิ้วต่ำที่สร้าง content ดี ๆ ให้กำลังใจผู้คนนับไม่ถ้วนมาอย่างยาวนาน ถ่ายทอดผ่านเรื่องเล่าสั้น ๆ ที่แฝงไปด้วยคำถามให้กลับมาทบทวนตัวเองว่าวันนี้เราใจดีกับตัวเองมากพอแล้วหรือยัง
ด้วยสไตล์การเล่าเรื่องราวผ่านลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์กับถ้อยคำปลอบโยนหัวใจ ทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนเพื่อนที่หวังดี คอยเตือนให้เราหันกลับมาโอบกอดหัวใจตัวเองและถอยห่างจากความสัมพันธ์ที่ชวนให้เหนื่อยล้า หรือเรียกสั้น ๆ ว่าการถอยออกมาหนึ่งก้าวนั่นเอง
ในสังคมที่สับสนวุ่นวายและทุกคนพร้อมที่จะตัดสินกันเสมอ เราอาจะเผลอเมินเสียงหัวใจของตัวเองและตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งที่คนอื่นมองว่าดีจนลืมไปว่าเสียงในหัวใจข้างในของเราเองเป็นเสียงที่เราควรเชื่อและรับฟังมันมากที่สุด
หากรู้สึกเหนื่อยจนทนไม่ไหว ให้หนังสือเล่มนี้เป็นกระจกส่องใจ กลับมาดูแลความรู้สึกข้างในตัวเรากันนะ
“ถ้าอีก 1 ปีต่อจากนี้จะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว จะยังเลือกทำสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้หรือจะลองเปลี่ยนอะไรในชีวิตใหม่บ้าง” นี่คือคำถามที่เราได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ ถึงชื่อจะชวนให้ปลงแต่นี่ไม่ใช่หนังสือธรรมะสักทีเดียว กลับกันเป็นหนังสือที่ชวนให้เราตระหนักว่าเวลาและชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและเราสามารถทำอะไรกับมันได้บ้างหากไม่อยากรู้สึกเสียดายเมื่อวาระสุดท้ายเดินทางมาถึงจริง ๆ
นพ.โอซาวะ ทาเคโทชิ แพทย์ผู้ทำการรักษาคนไข้ป่วยระยะสุดท้ายมากว่า 3,500 ราย เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นจากประสบการณ์ใกล้ชิดกับผู้ป่วยเหล่านั้น จากการสังเกต พูดคุย รับฟังเรื่องราวหลากหลายของผู้คนที่รู้ตัวว่ากำลังจะต้องจากโลกนี้ไป ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ถ้ารู้อย่างนี้…” และนี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อเวลาใกล้หมดลงพวกเขากลับมองเห็นสิ่งสำคัญที่เคยหลงลืมไปชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง การแสดงความรักต่อคนในครอบครัว การลงมือทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ใจเรียกร้อง ไปจนถึงการใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างเต็มที่ อะไรเทือกนี้ที่ตอนมีความสุขและร่างกายแข็งแรงดีไม่คิดจะเริ่มทำ กลับกลายมาเป็นสิ่งที่ผู้คนเสียใจภายหลังมากที่สุด
หนังสือเล่มนี้อาจจะไม่มีคำตอบที่ชัดเจนถึงคำถามที่ว่าถ้าอีกหนึ่งปีจะต้องตายเราควรทำอะไรไม่ควรทำอะไร แต่เป็นหนังสือที่จะชวนให้เราได้กลับมาทบทวนถึงความต้องการในใจลึก ๆ และถึงแม้ช่วงเวลาหนึ่งปีมันจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ยาวนานพอให้ลงมือทำทุกอย่างตามที่ฝันไว้ได้ครบ แต่ก็ไม่ได้สั้นจนถึงขั้นที่จะไม่พอให้เราได้สร้างช่วงเวลาที่น่าจดจำก่อนจากไป
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เราหวังว่าหนังสือที่เลือกมาป้ายยาจะมีเล่มใดเล่มหนึ่งที่ช่วยให้เพื่อน ๆ เอาชนะเสียงในหัวที่เอาแต่ขู่ให้กลัวจนไม่กล้าลุกไปใช้ชีวิตของตัวเองกันนะคะ เพราะวันข้างหน้าไม่มีอะไรแน่นอน ที่สำคัญคือชีวิตมันก็แสนสั้นเกินกว่าจะหลบอยู่ใน comfort zone ตลอดไป การไปลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำและใช้มันให้เต็มที่ตราบใดที่ไม่สร้างความเดือดร้อนทั้งตัวเองและคนรอบตัว อาจจะทำให้เพื่อน ๆ ได้ค้นพบสิ่งใหม่ที่ทำให้หัวใจกลับมาเต้นแรงอีกครั้งก็ได้นะคะ
พบกันใหม่บทความหน้า ขอให้อ่านหนังสือด้วยความสุขในทุกการพลิกหน้ากระดาษนะคะ
ฝ่ายบริการสมาชิก The 1 หรือ The1 Call Center
ที่หมายเลข 02-660-1000 ได้ทุกวัน ตั้งแต่ 9.00 น. จนถึง 22.00 น. เพื่อแจ้งความประสงค์ขอยกเลิกการรับข้อมูลข่าวสาร
จะมีผลให้ส่วนลด พลังสะสมหรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจะถูกยกเลิกในทันที และหากท่านกลับมาสมัครใหม่ในภายหลังจะถือเป็นสมาชิกใหม่
ของท่านจะถูกยกเลิกทันที หลังจากท่านกดยืนยัน