หลายครั้ง สิ่งที่ทำให้เราเหนื่อยมาก ๆ เหมือนโดนสูบพลัง อาจไม่ใช่เพราะงาน ไม่ใช่เพราะเรื่องเรียน ไม่ใช่เพราะปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างฝนที่ชอบตกตอนเช้า หรือรถที่ชอบมาติดเอาตอนเย็น (เอาจริงก็น่าหงุดหงิดอยู่นะ 555) แต่เป็น “คน” ต่างหาก
ไม่รู้ว่าเพื่อน ๆ ชาว B2S Club เจอบ่อยมั้ย คนที่ยิ้มให้แต่ในใจไม่ได้ยิ้มตาม คนที่ชอบหาทางเอาเปรียบเรา ใช้เราทำนู่นนี่เพราะเห็นว่าเราทำได้ มีน้ำใจ ไม่ปฏิเสธ คนที่พูดจาหยาบ ๆ คาย ๆ ใส่ หรือบางทีก็ไม่ได้ใช้คำพูดหยาบคายอะไรเลย แต่เป็นการกระทำต่างหากที่หยาบยิ่งกว่ากระดาษทราย เฮงซวยจริง ๆ ขอเบิกตัวช่วยหน่อยเถ๊อะ! ในเมื่อปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องเจอคนท็อกซิกหลากหลายรูปแบบที่สิงสถิตอยู่แทบทุกที่ วันนี้เลยมีหนังสือ 7 เล่มที่จะช่วยเปิดโหมดเอาตัวรอดท่ามกลางคนล้ำเส้นพวกนี้มาฝากกัน ไม่เชิงว่าเป็นสูตรสำเร็จ แต่บอกเลยว่าเราจะอยู่ร่วมกับคนพวกนี้ได้โดยที่ใจก็ยังดี แล้วตัวเราเองก็ไม่กลายไปเป็นคนแบบที่เราเกลียดด้วย
“วิธีรอดพ้นจากคนหลงตัวเอง” เล่มนี้ พูดถึงคนหลงตัวเองที่เรามักเจอได้ง่าย ๆ ในชีวิตจริง ไม่ว่าจะที่ทำงาน ในที่เรียน ในความสัมพันธ์ หรือแม้แต่ในโลกออนไลน์ ซึ่งคนหลงตัวเองมักมีลักษณะที่จะพยายามควบคุมคนอื่น เรียกร้องความสนใจอย่างแนบเนียน มั่นใจในตัวเองแบบเกินเบอร์ และหลายครั้งก็ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล ฉันถูกเท่านั้น คนอื่นผิดหมด
ใครที่เคยอ่านหนังสือฮาวทูตระกูลมนุษย์สี่สีของโธมัสมาก่อน ก็น่าจะคุ้นกับโมเดล 4 สีที่ใช้แบ่งบุคลิกคนแบบเข้าใจง่าย ได้แก่ แดง เหลือง เขียว น้ำเงิน ซึ่งในเล่มนี้ เขาหยิบโมเดลเดิมมาอธิบายด้วยว่า ความหลงตัวเอง อาจแฝงอยู่ในคนได้ทุกแบบ ต่างกันแค่การแสดงออกหรือลูกเล่นบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน เล่มนี้เราว่านอกจากจะเป็นไกด์จับพิรุธพวกหลงตัวเองแบบสุด ๆ และบอกวิธีรับมือที่ใช้ได้จริง มันยังชวนให้เรากลับมามองตัวเองด้วยว่าตัวเรา ก็อาจมีมุมที่หลงตัวเองด้วยเหมือนกัน
เราเชื่อว่าทุกคนก็เคยเจอ โมเมนต์ที่สัมผัสได้ว่าคนไหนมีพลังงานลบ ๆ เหมือนเป็นหลุมดำอยู่มุมห้อง แค่คิดว่าต้องเดินไปเฉียด ๆ ใกล้ ๆ ก็หมดพลังแล้ว เจอคนเดียวยังพอทน เจอสิบคนเนี่ยพอเลยนะ แล้วหนังสือ “จิตวิทยาตีเนียน (เพื่อจัดการคนน่ารำคาญ)” ก็เหมือนจะเป็นฮีโร่ขี่ม้าขาวที่เข้ามาช่วยไว้ได้ทันพอดี
หนังสือเล่มนี้ ชวนเราไปสังเกตว่าอะไรที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมสุดน่ารำคาญของคนในที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นพวกขี้เมาท์ที่ไม่เคยว่างจากการซุบซิบนินทาคนอื่น หัวหน้าที่พูดเหมือนรู้ทุกอย่างแต่จริง ๆ แล้วไม่ หรือคนที่พอมีปัญหาก็เงียบแล้วชิ่ง ปล่อยให้เรารับผิดชอบไป ผู้เขียนเขาแบ่งคนน่ารำคาญพวกนี้ออกเป็น 5 ประเภท จากนั้นใช้หลักจิตวิทยามนุษย์ (ที่แม่นยิ่งกว่าหมอดู) มาอธิบายว่า ทำไมเขาถึงทำแบบนั้น และเราควร “ตีเนียน” ตอบโต้ยังไง ให้ตัวเองไม่เสียหน้า ไม่รู้สึกผิด และไม่สูบพลังงาน บอกเลยว่าโคตรจะดี เป็นเล่มที่เก็บเทคนิคไปใช้วน ๆ ได้แบบอินฟินิตี้เลย
บางทีการที่เราโดนใครต่อใครใจร้ายใส่ อาจเป็นเพราะเราใจดีเกินไป คิดว่าคำพูดแย่ ๆ เหล่านั้นที่ออกจากปาก คำพูดจิกกัดเนียน ๆ และคำหยาบ ๆ คาย ๆ ที่คนอื่นหยิบยื่นมาให้คืออารมณ์ชั่ววูบ เราปล่อยมันผ่านไปทั้งที่จริง ๆ สิ่งเหล่านั้นทำเราเจ็บแทบบ้า ใจเต้นตุบตับ ๆ อยู่ข้างใน พลางคิดสงสัยว่าเราไปทำอะไรให้ขนาดนั้น นับแต่นี้เราต้องหยุดทำร้ายตัวเอง ถึงเวลาหยุดใจดีกับคนหยาบคายพวกนี้สักที
"ไม่มีเหตุผลให้ต้องทนกับคนหยาบคาย" เป็นความเรียงอ่านง่ายที่เขียนโดยนักการตลาด ผู้เขียนได้แนะนำวิธี Set boundaries หรือการตั้งขอบเขตความใจดีอย่างเรียบง่าย พร้อมกับพาเราไปทำความเข้าใจว่า พฤติกรรมหยาบคายที่แสดงออกเหล่านั้นซ่อนวิธีคิดแบบไหนไว้ข้างใน และเราจะถอยออกมาได้ยังไงโดยที่ยังรู้สึกดีกับตัวเอง เป็นเหมือนการตัดเนื้อร้ายทางใจแบบไม่ต้องใช้มีด เพราะเราไม่จำเป็นต้องอภัยให้กับพฤติกรรมที่ทำร้ายเราซ้ำ ๆ ความใจดีและความสุภาพของเราไม่ควรกลายเป็นใบอนุญาตให้ใครมาล้ำเส้นได้
เล่มนี้เขามาแบบน่ารักนะ แทนพวกที่เข้ามาล้ำเส้นคนอื่น เอาเปรียบคนอื่นด้วยคำว่า “ผู้ก่ออุบัติเหตุทางใจ” 555 แต่ก็จริงแหละ ถ้าเทียบกับการเจออุบัติเหตุจริง ๆ ในชีวิตจริง การได้เจอคนแย่ ๆ ที่คอยแต่จะเอาเปรียบเรา ก็คงเหมือนเจออุบัติเหตุทางใจจริง ๆ นั่นแหละ อย่างสาหัสด้วย และบางทีก็อาจเป็นเราเองเหมือนกันที่ไม่ระแวดระวัง อนุญาตให้ใครต่อใครล้ำเส้นเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
“ไม่ต้องสนใจคน (ล้ำเส้น) แบบนั้นชีวิตฉันก็มีความสุข” คือหนังสือที่ชวนเรากลับมาทบทวนขอบเขตของตัวเองอีกครั้ง ทั้งจากคนอื่นที่ล้ำเส้น และจากตัวเราเองที่บางครั้งก็ลืมเคารพใจตัวเอง เป็นเล่มที่อธิบายด้วยภาษาที่เรียบง่าย แต่ทำให้เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าทำไมเราถึงต้องมี “ระยะปลอดภัย” ในความสัมพันธ์ และจะอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยคนที่ขาดสามัญสำนึกยังไงโดยไม่กลายเป็นเหยื่อซ้ำ ๆ เรียกว่าเป็นหนังสือที่ไม่ได้แค่สอนให้รับมือกับคนอื่น แต่ค่อย ๆ พาเราเยียวยาใจตัวเองไปด้วยแบบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
เราอาจเคยคิดว่าการเอาชนะคนโง่คือการเถียงให้ชนะ แต่นี่คือหนังสือที่จะบอกว่า การไม่สู้เลยต่างหาก คือวิธีที่ฉลาดที่สุด "ถึงโมโหก็อย่าสู้กับคนโง่" เป็นเหมือนคู่มือสงครามประสาทเวอร์ชัน Daily use อ่านง่ายย่อยง่าย ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ด้านในเต็มไปด้วยวิธีพลิกสถานการณ์ให้ชนะโดยไม่ต้องเปลืองแรง แต่ก็ยียวนชวนขำ อย่างเช่น “จงทำหน้ากลุ้ม แม้จะไม่ได้กลุ้มอยู่ก็ตาม” หรือ “ถ้าอภัยไม่ได้จริง ๆ ให้เขียนใส่ในเดธโน้ต”
คืออ่านไปฮาไป มันเลยเป็นฮาวทูในการเอาตัวรอดที่ค่อนข้างสนุก แถมยังรวบรวมเทคนิคจากศิลปะการอ่านใจ การตั้งรับอย่างแนบเนียน ไปจนถึงใช้พลังของคนโง่ให้เป็นประโยชน์ (อย่างที่นักการเมืองเขาทำกัน) เอาไว้ให้ด้วย เราว่าเป็นหนังสือที่ทำให้เห็นเลยว่าเราไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีแบบที่อดทนเกินมนุษย์ แต่ก็อยู่รอดได้โดยไม่บอบช้ำ เพราะท้ายที่สุดเราก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงคนที่โคตรไม่น่าเสียพลังชีวิตด้วยได้
สกิลอย่างนึงของพวกท็อกซิกที่ทำให้เราเขว คาดเดายากว่าสรุปจะมาไม้ไหน เป็นคนปกติหรือแอบประสาทอยู่กันแน่ คือสกิลความเนียน เพราะภายนอกคือดูเป็นคนดีมาก เป็นคนมีมารยาท มีน้ำใจ แต่ใครจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วเป็นแค่แผนเท่านั้นแหละ
"ดูแวบแรกเป็นคนดี นี่แหละตัวดี" เลยเป็นเหมือนหนังสือที่จะพาเราไปแอบส่อง “มนุษย์ (แอ๊บเป็น) คนดีย์” ผู้ที่ภายนอกดูเป็นคนน่ารัก แต่ภายในแอบซ่อนพลังทำลายล้างระดับจิตใจ ทั้งคำพูดที่ดูหวังดีแต่แอบจิกกัดถากถาง ไม่ได้พูดโอ้อวดแต่แสดงความเก่งความฉลาดในทุกเรื่องจนคนอื่นรู้สึกด้อย หรือบางทีก็ยิ้มแย้มพูดจาดี แต่จริง ๆ พยายามจูงให้เราตามเกมเขาแบบเนียน ๆ
ผู้เขียนไม่ได้แค่ชี้ให้เห็นพฤติกรรมที่เราอาจมองผ่าน ๆ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่ยังแบ่งระดับความอันตรายของเหล่ามนุษย์คนดีย์เหล่านี้ในแต่ละแบบด้วย และยังให้เทคนิคโต้กลับอย่างนุ่มนวล แต่มีพลังมากพอที่จะปกป้องตัวเองได้โดยไม่ต้องทะเลาะหรือกลายเป็นฝ่ายผิดไปซะเอง ใครที่เคยมีความรู้สึกว่า อยู่กับคนนี้แล้วไม่เป็นตัวเอง หรือ คำพูดที่เขาพูดก็ดูหวังดีนะ แต่น่าหงุดหงิดแบบแปลก ๆ เล่มนี้คือคำตอบเลยค่ะ
อยากจะขอยืมชื่อหนังสือกับหน้าปกไปปรินต์แปะโต๊ะที่ทำงานเหลือเกิน 555 แค่ชื่อ “ที่นี่ไม่ต้อนรับคนเฮงซวย” ก็เหมือนตะโกนแทนใจใครหลายคนที่ต้องเผชิญหน้ากับมนุษย์เจ้าปัญหาประจำออฟฟิศแล้ว ทั้งคนที่ชอบกดคนอื่น ปั่นประสาท สร้างบรรยากาศท็อกซิกด้วยพลังงานงี่เง่าที่แทบดูดอากาศหายใจไปหมดทั้งตึก บอกเลยว่าเป็นเล่มที่โคตรจะเหมาะกับชาวออฟฟิศมาก ๆ
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้แค่ช่วยให้เรารู้ทันและเอาตัวรอดจากพวกคนเฮงซวยในที่ทำงาน แต่ยังบอกเหตุผลว่าคนพวกนี้ทำอะไร แล้วทำไมเราถึงเจอคนพวกนี้เยอะนัก ที่สำคัญคือยังชวนย้อนมองตัวเองแบบตรงไปตรงมาว่า หรือบางที... เราเองก็อาจเป็นหนึ่งในคนเฮงซวยโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน 5555 คือใครที่รู้สึกว่าแค่ไปทำงานก็เหมือนออกรบทุกวันอะ เล่มนี้คือคัมภีร์เอาตัวรอดชั้นดีเลย ทั้งช่วยให้เราได้สอดส่องคนอื่น สอดส่องตัวเอง รู้วิธีที่จะเป็นคนดีในที่ทำงานได้โดยไม่กลายเป็นเหยื่อ และไม่เผลอกลายไปเป็นตัวร้ายซะเองค่ะ
เพราะเราไม่สามารถหายตัวไปจากโลกนี้ได้ หรือย้ายไปอยู่มุมเงียบ ๆ ได้อย่างที่ใจอยากตลอดเวลา แถมก็ห้ามไม่ให้ชีวิตโคจรมาพบเจอกับคนท็อกซิกไม่ได้ด้วยเช่นกัน การหาวิธีที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นยังไงให้ใจเรายังแข็งแรงดี ไม่รับพลังงานท็อกซิกมากระทบใจ แล้วก็ไม่กลายเป็นคนท็อกซิกซะเองใส่คนอื่น เลยเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับทุกคนในยุคนี้แล้ว
หวังว่าหนังสือเอาตัวรอดจากคนท็อกซิกทั้ง 7 เล่มในวันนี้ จะเป็นเหมือนวัคซีนทางใจที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้เรารู้วิธีรอดพ้นจากเหล่ามนุษย์คนดีย์ที่มีอยู่ทุกที่บนโลกใบนี้ได้ ใครที่กำลังเจอคนล้ำเส้นบ่อย ๆ โดนเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา (และหลายครั้งก็ไม่รู้ตัวด้วยนะ) 7 เล่มนี้แหละ จะมาเปิดโหมด Survival ให้เรารู้วิธีเอาตัวรอดจากคนท็อกซิก พร้อมกับปรับใจตัวเองให้ไม่เบียดเบียนตัวเอง และไม่เบียดเบียนคนอื่นไปด้วยพร้อม ๆ กัน
ฝ่ายบริการสมาชิก The 1 หรือ The1 Call Center
ที่หมายเลข 02-660-1000 ได้ทุกวัน ตั้งแต่ 9.00 น. จนถึง 22.00 น. เพื่อแจ้งความประสงค์ขอยกเลิกการรับข้อมูลข่าวสาร
จะมีผลให้ส่วนลด พลังสะสมหรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจะถูกยกเลิกในทันที และหากท่านกลับมาสมัครใหม่ในภายหลังจะถือเป็นสมาชิกใหม่
ของท่านจะถูกยกเลิกทันที หลังจากท่านกดยืนยัน