เริ่ม Chapter แรกของปี 2025 มาสักพักแล้ว เชื่อว่าเพื่อน ๆ B2S Club คงกำลังมองหาแรงบันดาลใจมาเติมพลังให้ตัวเองกันตั้งแต่ต้นปีเพื่อบูสต์เอเนอร์จี้ให้ข้างในแข็งแรงมากขึ้น พร้อมรับมือกับโลกที่มันหมุนไปไวขึ้นทุกที แม้จะกระโดดข้ามมาปีใหม่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าชีวิตยังคงดำเนินต่อไปในแบบของมันแหละ มีดีบ้าง แย่บ้าง น่าหงุดหงิดและชวนหัวเสียอยู่บ่อยครั้ง จนหลายคนต้องบอกตัวเองว่า จะให้สู้ชีวิตตั้งแต่ต้นปีเลยหร๊ออ เกิดแต่กับฉันสุด ๆ ไหนจะความเร่งรีบ แรงกดดันจากสารพัดทิศทาง สุขภาพใจเลยไม่ใช่สิ่งแรก ๆ ที่เราให้ความสำคัญ จนกระทั่งมาถึงวันนึงที่มันพังอย่างแรงนั่นแหละ เราถึงพึ่งเข้าใจว่าข้างในมันเปราะบางขนาดไหน
การดูแลสุขภาพใจเลยเป็นเรื่องสำคัญมากพอ ๆ กับสุขภาพกาย เพราะการที่มันแข็งแรงมากพอหรือไม่มากพอ สามารถส่งผลกับการมีชีวิตที่ดีหรือไม่ดีไปได้ตลอดทั้งปีเลยด้วย วันนี้เลยรวบรวม 6 หนังสือฮีลใจที่หลายเล่มก็เขียนและแนะนำโดยจิตแพทย์และนักจิตวิทยาโดยตรงเลยมาฝากกัน ไม่ว่าจะกำลังมองหาวิธีจัดการความเครียด วิธีเลิกคิดมาก วิธีสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง หรือการหาความสุขที่แท้จริงให้เจอท่ามกลางความสุขที่แปลกปลอมมากมาย ลิสต์หนังสือนี้จะเป็นเหมือนคู่มือและที่พึ่งทางใจ ช่วยเชียร์อัปให้เราค้นพบพลังในตัวเอง และก้าวผ่านปีนี้ไปได้ด้วยความสุขกันค่ะ
ถ้าเคยรู้สึกว่าความคาดหวังจากสังคมทำให้เหนื่อยจนอยากเทมันทุกอย่าง หวาดกลัวจนไม่เคยได้เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด หนังสือเล่มนี้จะทำให้เราตระหนักรู้ว่า การใช้ชีวิตในแบบของเราเอง อาจเป็นความกล้าหาญที่สุดแล้ว "กล้าที่จะถูกเกลียด" ถ่ายทอดแนวคิดจิตวิทยาของ Alfred Adler ผ่านบทสนทนาของชายหนุ่มที่มองโลกในแง่ลบสุด ๆ กับนักปรัชญา หลายคนคุ้นชื่อหนังสืออยู่แล้วเพราะเป็นเล่มขายดีทุกปี แล้วก็เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยมีดองไว้อยู่ในกองดองแต่ยังไม่ได้เปิดอ่าน จะบอกว่าของดีเลยแหละ
เรียกได้ว่าเป็นเล่มที่ช่วยให้เราได้ปลดล็อกตัวเอง เพื่อให้เราได้เป็นตัวเองแบบ 100% ผ่านการมองลึกเข้าไปข้างใน และตั้งคำถามกับความเชื่อที่ว่า คุณค่าของตัวเรา ต้องขึ้นอยู่กับการยอมรับจากคนอื่นเท่านั้นเหรอ ? การกล้าเผชิญหน้ากับการถูกปฏิเสธ และมองเห็นคุณค่าของตัวเองโดยไม่ยึดติดกับความคิดคนอื่น เป็นสิ่งที่ดูเหมือนยาก แต่เล่มนี้จะชี้ให้เราเห็นเองว่ามันทำได้จริง ๆ ใครต้องการแรงผลัก เล่มนี้ตอบโจทย์สุด ๆ
การใจดีกับตัวเอง เป็นเรื่องที่เหมือนทำง่ายแต่จริง ๆ ยาก เพราะบ่อยครั้งเราเห็นคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ และมักจะใจดีกับคนอื่นมาก แต่โบยตีตัวเองจนฟกช้ำดำเขียวแม้กับเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
"ใจดีกับตัวเองบ้างก็ได้" เป็นผลงานของ หมอจริง จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นที่มีประสบการณ์ในการดูแลสุขภาพจิตของผู้ป่วยในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแก่นหลักของหนังสือจะเน้นความ Self-Compassion หรือการเมตตาต่อตัวเอง คุณหมอจะค่อย ๆ พาเราไปสำรวจใจโดยหยิบเอาปัญหาที่พบเจอได้ง่ายในชีวิตประจำวันมาอธิบาย เช่น ความเครียดความกังวลต่าง ๆ ต้องจัดการยังไง อยากเป็นคนใจเย็นกว่านี้ควรทำยังไง New Year Plan ที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้สำเร็จทำไมมันล้มเหลวง่ายจัง ฯลฯ เล่มนี้ไม่ใช่แค่หนังสือที่จะทำให้เรารักตัวเองกันมากขึ้น แต่ยังสอนให้ตัวเราได้รู้จักให้พื้นที่กับความผิดพลาดและการเริ่มต้นใหม่ด้วย ทั้งยังชี้ให้เห็นว่าการรักตัวเองไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว แต่เป็นของขวัญที่เราควรจะให้ตัวเองต่างหาก
แอบคิดเหมือนกันว่าเวลาเราป่วยทางใจ เราไปรักษา มีคนคอยให้คำแนะนำอย่างดี และพยักหน้ารับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ ตัวคุณหมอเองที่ทำหน้าที่บำบัดรักษาคนอื่น รับฟังปัญหาสารพัด ก็คงต้องการใครสักคนมาเยียวยารักษาแผลข้างในด้วยเหมือนกัน
"Maybe You Should Talk to Someone" หรือ เพราะนี่คือสิ่งที่ (นักจิตวิทยา) ไม่เคยบอก เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องราวของ Lori Gottlieb นักจิตบำบัดผู้เปิดเผยประสบการณ์ทั้งในฐานะผู้ให้คำปรึกษาเอง และตอนที่เป็นผู้เข้ารับการบำบัดเอง ซึ่งมุมมองจากทั้งสองฝั่งทำให้เราเข้าใจกระบวนการในการบำบัดใจมากขึ้น และทำให้เข้าใจว่าความอ่อนแอไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเยียวยา มันฮีลใจตรงที่หนังสือเล่มนี้ทำให้เราเห็นว่าการขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องผิด หรือเป็นเรื่องล้มเหลวเลย การกล้าเผชิญหน้าและยอมรับความรู้สึกของตัวเอง ถือเป็นการดูแลตัวเอง และเป็นโพรเซสนึงของการรักตัวเองต่างหาก
อาการปวดหลังปวดบ่าที่เกิดขึ้นทางกายภาพ พักไม่นานคงพอจะบรรเทา แต่ถ้าปวดหลังปวดบ่าเพราะแบกอะไรไว้มากมาย ทั้งความเครียด ความกดดัน ความคาดหวัง และสารพัดสิ่งอย่างที่ชวนให้รู้สึกหนักหนาจนไม่มีความสุขกับชีวิต เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยหรือทิ้งอะไรไปบ้าง เพราะการแบกสัมภาระที่ไม่มีประโยชน์ติดตัวไปด้วย มันก็ไม่ได้ให้อะไรกับคนแบกเลยนอกจากความทรมานที่ต้องแบกมันเรื่อยไป
“ใช้ชีวิตง่าย ๆ ก็สบายใจเหมือนกันนะ” งานเขียนของฮาวัน (Ha Wan) นักเขียนและนักวาดภาพประกอบชาวเกาหลีใต้ที่รวมเอาประสบการณ์และชีวิตประจำวันของผู้เขียนมาแบ่งปัน พร้อมกับให้ข้อคิดในการปล่อยวางจากความซับซ้อนและความคาดหวัง แล้วเราจะหาความสุขที่แท้จริงในชีวิตเจอได้ง่าย ๆ จากสิ่งรอบตัว เพราะความสุขไม่ได้มาจากสิ่งที่เราหาเพิ่มเข้ามา แต่มันมาจากสิ่งที่เราเลือกปล่อยไป
เล่มนี้เป็นนิยายอบอุ่นหัวใจที่ไม่ว่ายังไงก็วนมาฮิตขายดีเสมอ เพราะเป็นเหมือนเข็มทิศ ช่วยนำทางให้คนที่กำลังหลงทาง รู้สึกสับสนในชีวิต ได้พบกับความหวังและเจอทางออกอีกครั้ง “ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ” เป็นผลงานของ ฮิงาชิโนะ เคโงะ นักเขียนนิยายสืบสวนชื่อดังที่สายนิยายญี่ปุ่นรู้จักกันเป็นอย่างดี และเล่มนี้อาจเป็นเล่มแรก ๆ ของใครหลายคนที่ทำให้เป็นแฟนเคโงะกันจนถึงทุกวันนี้
นิยายเล่มนี้เปิดเรื่องด้วยหัวขโมยสามคนที่เข้าไปหลบหนีในร้านชำร้างชื่อ "ร้านชำของคุณนามิยะ" และในคืนหนึ่ง ขณะที่กำลังคิดวางแผนหลบหนี ทั้งสามได้พบกับจดหมายที่ถูกส่งมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาชีวิต ซึ่งสิ่งที่น่าแปลกคือ จดหมายเหล่านี้ถูกส่งมาในลักษณะที่คล้ายกับว่าเจ้าของร้านหรือคุณนามิยะยังคงอยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หัวขโมยทั้งสามเลยเริ่มเปิดอ่านและตัดสินใจตอบจดหมายเหล่านั้นแทนคุณนามิยะ และการตอบจดหมายครั้งนี้เอง ก็ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้และเชื่อมโยงกับชีวิตของตัวละครอื่น ๆ ทุกคำตอบที่ทั้งสามส่งกลับไป ดันส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตของผู้คนเหล่านั้น ขณะเดียวกันก็ทำให้แก๊งหัวขโมยได้ตั้งคำถามกับตัวเองถึงเส้นทางชีวิตที่เลือกเดิน และผลกระทบจากการกระทำที่ผ่านมา
พามาปิดท้ายกันที่ "ศิลปะของการมีชีวิตที่ดี" โดย Rolf Dobelli นักเขียนและนักธุรกิจชาวสวิส ที่ wrap up แนวคิดในการสร้างชีวิตที่ดีและมีความสุขมาให้เราผ่านเครื่องมือทางความคิดหลากหลายชิ้น เป็นเล่มที่ช่วยประหยัดเวลาไปได้มากเลยค่ะเพราะเขาสรุปมาให้เราแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เราจำเป็นต้องตัดออก และอะไรคือสิ่งที่เราควรปรับ เพื่อให้เราได้ใช้เวลากับชีวิตของเราจริง ๆ อย่างมีคุณภาพ ไม่เสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่คุ้มค่าที่จะเสียเวลาอีกต่อไป
เนื้อหาในเล่มน่าสนใจหลายหัวข้อเลย และเชื่อว่ายังไงก็เอามาปรับใช้กับตัวเองได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลดการยึดความสุขไว้ที่วัตถุ แล้วหันมามองอะไรที่ไม่มีราคาแปะอยู่มากขึ้นแทน เช่น การใช้เวลาอย่างมีคุณภาพและการทุ่มเทกับความสัมพันธ์ การรู้จักปฏิเสธสิ่งที่ไม่จำเป็นจริง ๆ ซึ่งจะช่วยให้เรามีเวลากับพลังไปทำสิ่งอื่นที่สำคัญกว่ามาก หรือการมองภาพรวมในเรื่องต่าง ๆ ในระยะยาว แทนที่จะมุ่งเน้นแต่ความสำเร็จระยะสั้น เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็นคู่มือดี ๆ เล่มนึงที่ช่วยให้เราแยกขยะได้ชัดเจน และรู้จักเลือกที่จะเก็บไม่เก็บ ทิ้งไม่ทิ้งอะไร เพื่อให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น และพบกับชีวิตที่ดีที่เราตามหามาโดยตลอด
ชีวิตที่ดีไม่ได้มาจากการทำทุกอย่างอย่างสมบูรณ์แบบ แต่มาจากการเข้าใจตัวเองและยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบนั้น เราหวังว่าหนังสือ 6 เล่มที่แนะนำในวันนี้ จะเป็นเหมือนคัมภีร์สุขภาพใจที่ช่วยให้เพื่อน ๆ ได้ดูแลหัวใจ พัฒนาชีวิตไปสู่ episode ใหม่ ๆ และมองตัวเองด้วยสายตาที่อ่อนโยนขึ้นนะคะ
ไม่ว่าจะเลือกหยิบเล่มไหนขึ้นมาอ่าน สิ่งสำคัญคือการให้เวลากับตัวเองได้ยอมรับ เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับคำแนะนำดี ๆ ในลิสต์หนังสือเหล่านี้นะคะ มาฮีลใจให้สุด แล้วผลักชีวิตให้ไปข้างหน้าอย่างมีความสุขกัน