เอเนอร์จี้อ่อม - เหนื่อยล้า - หมดไฟ 3 อาการนี้เราเชื่อว่าเพื่อน ๆ B2S Club ก็คงเคยเป็น และเป็นอยู่ อาจจะเพราะว่าเรียนมาทั้งวัน ทำงานมาทั้งวัน วุ่นวายกับผู้คนและสรรพสิ่งเอเวอรี่ติงจิงเกอร์เบลแบบไม่จบสิ้น จนรู้สึกเหมือนแต่ละวันถูกสูบพลังงานออกไปหมด กลับบ้านมาชาร์จพลังได้เดี๋ยวเดียว (แบตฯ ไม่เต็มด้วยสิ) ก็ต้องกลับไปเผชิญความจริงในวันรุ่งขึ้น มิหนำซ้ำ ปัญหาหนักใจที่พูดไม่ออกบอกใครไม่ได้ (อกหัก ผิดหวัง ตกงาน เกรดตก สับสนกับความฝันและเส้นทางชีวิต ฯลฯ) ก็วนลูปกลับมาให้คิด ตอกย้ำซ้ำเติมตัวเองใหม่ได้ทุกคืนราวกับเป็นขยะรีไซเคิล
การเสพโลกโซเชียลก็ด้วยเหมือนกัน ส่วนใหญ่เรานึกไม่ถึงหรอกว่ามันท็อกซิกกับชีวิตกว่าที่เราคิด หลายครั้งมันกัดกินเวลาและความเป็นตัวเองของเราไป (โดยไม่รู้ตัวด้วย) จนเรากลายเป็นคนที่ไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิต แคร์คนอื่นมากกว่าตัวเอง พยายามจะถมใจที่ว่างเปล่าแต่ก็ไม่เคยรู้สึกเต็ม และมักมองข้ามสิ่งตรงหน้า ณ ปัจจุบัน ไปนึกถึงอดีตและอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นอยู่เสมอ
เมื่อพยายามจะสู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับ อาการหมดไฟหมดใจใด ๆ เหล่านี้เลยกำเริบหนักซะจนว้าวุ่นเหนื่อยหน่าย เศร้าซึมกับชีวิตเหลือเกิน แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก จริงอยู่ว่าอาการแบบนี้เดี๋ยวก็เป็น ๆ หาย ๆ ตามจังหวะชีวิต แต่มันก็มีทางเยียวยารักษาให้ดีขึ้นได้ตั้งหลายวิธี นอกจากจะหาเวลาไปทำกิจกรรมที่ชอบ ดูหนังฟังเพลงให้สบายหัวใจ หรือออกจากคอมฟอร์ตโซนไปลองทำสิ่งใหม่ “ธรรมะ” ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เรามองโลกได้ด้วยความเข้าใจ ฝึกใช้ชีวิตอย่างมีสติ รู้เห็นตามความเป็นจริง และเรียนรู้ที่จะไม่แบกทุกข์ไว้มากมายเหมือนอย่างที่ผ่านมา
ความจริงนี่แหละ ที่จะช่วยตบให้เราตื่น ตบชีวิตให้เข้าที่เข้าทางได้สักที เหมือนอย่างกระแสฅนตื่นธรรมในช่วงนี้ ที่ทำให้หลายคนกลับมาอินกับหลักความเป็นจริงมากขึ้น เราเลยมีหนังสือที่แฝงข้อคิดปรัชญาดี ๆ อ่านง่าย เข้าใจง่าย มาแนะนำกัน พร้อมจะเปลี่ยนจากศาลาคนเศร้าให้เป็นศาลาคนสุขกันแล้วยัง ถ้าพร้อมแล้วก็ตามมาโลด
มาเริ่มกันที่หนังสือภาพน่ารัก ๆ สอดแทรกปรัชญาและธรรมะในแบบฉบับพระพุทธศาสนา (แต่อ่านแล้วไม่น่าเบื่อเลย เหมือนอ่านนิทานน่ารักฮีลใจเล่มนึง) กับหนังสือที่มีชื่อว่า แพนด้ายักษ์กับมังกรจิ๋ว เป็นเรื่องราวของเพื่อนรักข้ามสายพันธุ์ที่จะพาเราเดินทางผ่านฤดูกาลต่าง ๆ ระหว่างการผจญภัยก็เผชิญอุปสรรคมากมาย ทั้งหลงทาง ทั้งยากลำบาก แต่ขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้ชีวิต ได้รู้วิธีที่จะสงบนิ่งท่ามกลางความยุ่งยากหนักหนาที่ผ่านเข้ามา แนวคิดหลัก ๆ ของเล่มนี้นอกจากจะเป็นเล่มที่ช่วยฮีลใจ ยังทำให้เราตระหนักรู้ว่า แม้ในช่วงที่เราต้องเผชิญความเหน็บหนาวแสนสาหัส เราจะหาความแข็งแกร่งภายในตัวเองเจอ และก้าวข้ามผ่านช่วงเวลายากลำบากไปได้
มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยความหวัง เราต่างหวังจะมีความสุขและมีชีวิตที่ดีกันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริง เมื่อพบว่าหวังแล้วก็ผิดหวัง แถมยังผิดหวังอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความหวังที่เคยมีอยู่เต็มเปี่ยมก็ค่อย ๆ ร่อยหรอลงไปทุกที “ความหวังครั้งที่อนันต์” จึงเหมือนเป็นหนังสือที่ช่วยย้ำเราว่า ชีวิตต้องมีความหวังไว้เสมอ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้เริ่มต้นใหม่ได้ แม้จะล้มลุกคลุกคลานบ้าง ผิดหวังอยู่ซ้ำ ๆ และหนีไม่พ้นต้องยอมแลกอะไรบางอย่าง หรือมีบางสิ่งสูญหาย พังทลายไประหว่างทาง แต่ชีวิตก็ดำเนินต่อไป ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
จากเรื่องเล่าทั้ง 16 บท ที่เต็มไปด้วยความหวัง ความฝัน และบทพิเศษที่พูดถึงการกลับมาพร้อมความหวังโดยเล่าผ่านตัวอักษร 4 ตัวซึ่งก็คือ H O P E ยิ่งช่วยเติมพลังใจให้เรากลับมาฮึบกับชีวิต ปล่อยสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ให้มันเป็นไป เพราะไม่มีใครหรอกที่ไม่ปรารถนาจะมีชีวิตที่เป็นสุข สมหวังกับทุก ๆ เรื่อง แต่ในระหว่างทาง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสุขตลอดไป สมหวังอย่างที่หวังตลอดไป ในทางกลับกัน ความทุกข์ ความผิดหวังเสียใจ ก็ไม่ได้เกิดกับเราตลอดไปเช่นกัน
เราว่าทุกคนก็คงจะมีหลายอย่างที่ยึดถือไว้กับตัว ไม่ยอมปล่อยมันไปจากใจ อาจจะเป็นความสัมพันธ์ อาจจะเป็นโอกาส อาจจะเป็นสิ่งของ อาจจะเป็นภาระผูกพัน หรืออาจจะเป็นความทรงจำทั้งดีและร้ายที่ผ่านมาแล้วเนิ่นนาน อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดก็ด้วยเช่นกันที่เราไม่ยอมปล่อยมันไป หากว่ารู้สึกโกรธรู้สึกเกลียดใครสักคน อารมณ์มันก็ยังคงฝังแน่นอยู่เสมอ
“ปล่อย” ผลงานของโอโช นักคิดนักปรัชญาทางด้านจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกและมีผลงานออกมามากมาย เล่มนี้จะพาเราไปเรียนรู้วิธีการปล่อยพลังงานลบ พร้อมทั้งสร้างแรงบันดาลใจ และช่วยปรับมุมมองมายด์เซ็ตในเรื่องของการยึดถืออารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ ซึ่งเขาได้เขียนไว้ว่า ผู้ที่โกรธได้เท่านั้นจึงมีอำนาจในการให้อภัย ยิ่งความโกรธรุนแรงเท่าใด การให้อภัยก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น เราว่าเรื่องการปล่อย สามารถเอาไปปรับใช้ได้กับทุก ๆ เรื่องเลย
หลายคนคงเคยเห็นผ่านตามาบ้างกับข่าวที่บอกว่า เดนมาร์ก มักเป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมหาอำนาจแห่งความสุขอันดับหนึ่งของโลก ก็ทำให้เราอดสงสัยไม่ได้เหมือนกันแหละว่า ทำไมถึงเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุด แล้วทำยังไงถึงได้มีความสุขขนาดนั้นจนเป็นที่หนึ่งของโลก
คำตอบง่าย ๆ สำหรับเล่มนี้คือ "ฮุกกะ" ปรัชญาและวิถีความสุขของชาวเดนิชที่เป็นกระแสนิยมไปทั่วโลก ทั้งเรื่องของอาหาร สังคม รวมไปถึงมุมมองและวิถีทางที่ทำให้เรามีความสุขได้แบบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน จะบอกว่านอกจากจะได้ข้อคิดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในแบบที่เรียบง่าย ชวนให้เราหัดสังเกตสิ่งรอบตัว พร้อมทั้งโอบรับความสุขได้จากสิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้นในทุกวัน อ่านแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนได้ฮีลใจไปด้วย เพราะรูปเล่มสวยและมีภาพประกอบน่ารัก ๆ ตลอดทั้งเล่มเลย
อะไร ๆ ก็ต้องรู้ ต้องตามให้ทันอยู่ตลอดเพราะเดี๋ยวจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง โซเชียลก็ต้องอัปบ่อย ต้องตามเทรนด์ ต้องตามกระแสคอนเทนต์ บลา ๆๆ สารพัดอย่าง เราใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยความ “กลัว” เรากลัวจะหลุดจากวงโคจรและสังคมที่เรามี กลัวว่าจะผิดแผกแตกต่าง กลัวว่าจะเป็นใครคนนั้นที่ไม่สมบูรณ์แบบ
“ยินดีที่ (ไม่) ได้รู้” เป็นหนังสือที่ทำให้เราได้เห็นว่าในยุคโซเชียลที่ทุกคนเข้าถึงทุกอย่างได้ในคลิกเดียว ความคิดลบ ๆ ข่าวฉาว ๆ มันสร้างแรงสั่นสะเทือนกับความรู้สึก และส่งผลให้เกิดการกระทำต่าง ๆ ยังไงได้บ้าง มันกลายเป็นว่าสังคมทุกวันนี้ การพลาดเรื่องอะไรบางอย่างไป จะทำให้เราดูแปลก ดูไม่เข้าพวก จนทำให้เกิดความรู้สึกที่เรียกว่า FOMO หรือ The Fear of Missing Out
เล่มนี้จะมาช่วยเคาะระฆัง เตือนสติให้เราหันกลับมาโฟกัสที่ตัวเอง ใส่ใจตัวเอง มองเห็นตัวเองให้มากกว่ามองเห็นคนอื่น เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบตลอดเวลาเพื่อใครหรือเพื่ออะไร เพราะบางทีการพลาดอะไรไปบ้าง ก็เป็นข้อดีที่ทำให้เรามีความสุขในแบบเรียบง่ายของเราเอง ไม่ต้องไปคอยไล่ตามเสพอะไรลบ ๆ ให้เหนื่อยเปล่าด้วย เหมือนกับแนวคิด JOMO หรือ The Joy of Missing Out นั่นเอง
ทุกวันนี้อะไรก็เร่งรีบเสมอ แม้แต่งานที่ทำ ทักษะที่มี ตอนนี้ทุกคนต้องหันมาปรับตัวเองให้เป็นคนที่ Multitasking หรือทำอะไรหลาย ๆ อย่างไปพร้อมกันได้ วิถีชีวิตก็บีบให้เราต้อง Productive ตลอด ใช้ชีวิตไปแบบไม่ได้พักหายใจ ไม่มีเวลาให้ครอบครัวเหมือนอย่างเคย ไม่มีเวลาให้กับงานอดิเรกที่เคยชอบอีกแล้ว ไม่มีเวลาว่างไปนั่งจมจ่อมอยู่กับตัวเอง ไม่เคยได้หยุดสังเกตความงามระหว่างทางและมองเห็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อยู่รายล้อมเราเลย
ท่ามกลางโลกที่อะไร ๆ ก็วุ่นวายไปหมด “เร็วไม่ว่า ช้าให้เป็น” เป็นหนังสือที่จะชวนให้เราไปสำรวจและทำความเข้าใจวิถีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ ซึ่งไม่ใช่การปล่อยชีวิตให้ไหลเอื่อยไปอย่างไร้ทิศทาง แต่เป็นการแตะเบรกให้กับชีวิต เพื่อหยุด เพื่อถาม และสร้างจังหวะชีวิตที่พอดีให้กับตัวเองใหม่ เป็นอีกเล่มที่เตือนสติเราได้มาก ๆ ในเรื่องของการใช้เวลาและใช้ชีวิตค่ะ
จบกันไปกับ 6 หนังสือแนวข้อคิดปรัชญาที่เอามาแนะนำกัน อาจจะเป็นธรรมะแนวเย็น ๆ เหมือนนั่งอยู่ในสวนเซนสไตล์ญี่ปุ่น ไม่ใช่ฟีลลิ่งที่อ่านแล้วตบเข่าฉาด แต่ก็กระชากสติให้ตื่นได้ดี เหมือนโดนกระโถนเคาะหัวสักป้าบสองป้าบพอได้เจ็บหัว แต่ละเล่มก็มีจุดให้เราได้โฟกัสและเรียนรู้แตกต่างกันไป แต่แก่นหลักสำคัญคือการเรียนรู้ภายในตนเอง เพราะเมื่อเราเรียนรู้ที่จะรู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเองได้มากขึ้น เราก็จะมีสติมากพอที่จะพิจารณาชีวิต พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง อยู่กับปัจจุบันมากขึ้น มีความสุขกับสิ่งที่เรียบง่ายได้ทุกวัน เข้าใจโลกมากขึ้น ไม่รู้สึกว่าโลกใบนี้หนักหนาเกินไปนักในวันที่มีพายุฝนและฤดูหนาวผ่านเข้ามา
หวังว่าหนังสือทุกเล่มในลิสต์นี้ จะเป็นเพื่อนช่วยเตือนสติชาว B2S Club กันที่ข้างหมอนก่อนนอนทุกคืนนะคะ ไปเอฟเล่มที่สนใจกันได้ที่ร้านหนังสือ B2S โลด